KNK Weekly: สถานการณ์ที่ไทยต้องผ่านไป ไทยกัมพูชา

Thailand Cambodia การใช้กำลังตามกฎหมายระหว่างประเทศ ไทยกัมพูชา
Thailand Cambodia การใช้กำลังตามกฎหมายระหว่างประเทศ ไทยกัมพูชา

ประเทศไทย กำลังเผชิญความเปราะบางในช่วงเวลาที่ผ่านมา และสถานการณ์มีความผันผวนเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผมตั้งใจจะเขียน Weekly แต่แค่คิดว่าจะเขียน สถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงไปอีกแล้ว วันนี้เราจะมาประมวลกันมาว่ามีเหตุการณ์อะไรที่น่าสนใจน่าเรียนรู้บ้าง

ไทยกัมพูชา

สถานการณ์ ไทยกัมพูชา มีความตรึงเครียดมาก มากถึงขนาดมีอาวุธหนัก ซึ่งผมเห็นแววก่อนหน้านี้ว่ามีท่าจะไม่ดีในวันที่มีการลดสถานะทางการทูต เรียกทูตไทยกลับ และส่งทูตกัมพูชากลับประเทศ ซึ่งดูประกาศแล้วเหมือนว่าจะไม่ใช่การประกาศเป็นบุคคลไม่พึงประสงค์ของกัมพูชา แต่ ฉันไม่รับใคร ๆ ก็ตามของกัมพูชา ซึ่งมีความร้ายแรงกว่ามาก

ในมุมมองผมหากมองในมุมชาตินิยมนั้น ก็มีความสะใจไม่น้อย แต่ในมุมนักวิเคราะห์แล้ว ผมมองว่าไทยมีความหุนหันพลันแล่นเกินไป กล่าวคือ ไทยเทหน้าตักเร็วเกินไปยัง เรียกได้ว่าผู้ตัดสินใจยังเหมือนจะยังไม่มีกลวิธีที่ดีมากพอ แต่หากผสมกับเหตุผลที่ทหารไทยเหยีบกับระเบิดไปสองลูกนั้น ก็พอเข้าใจได้อยู่ว่าทำไมถึงตัดสินใจหมดหน้าตักแบบนั้น

อย่างไรก็ดี วิธีการทางการทูตยังมีหลายระดับ เป็นไปตามความหนักเบาของสถานการณ์ ซึ่งการไล่ทูตกลับหรือการไม่รับทูตใหม่เลย ก็เห็นในกรณีล่าสุดของสงครามยูเครนและรัสเซีย ซึ่งรัสเซียขนทหารจะบุกยึดเมืองหลวง แต่ของไทยเราสถานการณ์ไม่ถึงขนาดนั้น เราสามารถเริ่มจากเรียกทูตเรากลับมาอย่างเดียวก่อนได้ แล้วหากสถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปค่อยประกาศให้ทูตคนล่าสุดของกัมพูชาในประเทศไทยเป็นบุคคลไม่พึงประสงค์ แล้วเรียกให้ทูตคนใหม่ของกัมพูชามาประจำ แต่มองในแง่นี้กัมพูชาก็มีสิทธิจะไม่ส่งทูตมาประจำเนื่องจากไทยได้เรียกทูตกลับประเทศแล้ว แต่ในย่อหน้านี้จะชี้ให้เห็นว่า เราสามารถค่อย ๆ เพิ่มมาตรการไปเรื่อย ๆ ได้เพื่อดึงเข้าเกมการเจรจาก่อนที่จะมีการใช้กำลังระหว่างประเทศ

เมื่อมีการใช้กำลัง ไทยกัมพูชา

เมื่อวันที่มีการใช้กำลังเกิดขึ้น ผมมีความตกใจมาก เช่นเดียวกับทุกคน ณ ตอนแรกประเทศไทย ยังตั้งหลักไม่ทันเพราะโดนกัมพูชารัวมาเป็นชุด สิ่งที่กัมพูชาทำได้ดีมากคือการทำสงครามข่าวสารโจมตีมายังรัฐบาล อันตั้งข้อสังเกตได้ว่าระบบการบริหารของกัมพูชานั้นมีความเป็น ไดเร็ค คือทางตรงทางเดียวเป็นเนื้อเดียวกัน ผู้กุมอำนาจที่แท้จริงของกัมพูชานั้นมีเพียงฮุนเซนเท่านั้น แม้แต่กษัตริย์ของกัมพูชาเองดูเหมือนว่าจะอยู่ใต้การตัดสินใจของฮุนเซนอีกที ถึงแม้โดยตำแหน่งจะเป็นเพียงประธาน วุฒิสภา แต่ดูเหมือนอำนาจของฮุนเซนจะมีมากกว่านั้น

การเริ่มต้นขึ้นของเหตุความรุนแรง

ในยุคปัจจุบันกฎหมายระหว่างประเทศอย่างที่ทุกคนได้ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้ จะเข้าใจว่า “การใช้กำลัง” เป็นการที่ “ยอมรับไม่ได้” ในโลกยุคปัจจุบันหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีข้อที่สำคัญอยู่ใน กฎบัตรสหประชาชาติ ที่ทุกคนคงคุ้นหูกันเรียบร้อยแล้วคือ

กฎบัตรสหประชาชาติ (UN Charter) โดยเฉพาะใน ข้อ 2 วรรค 4 ซึ่งระบุว่า

“All Members shall refrain in their international relations from the threat or use of force against the territorial integrity or political independence of any state, or in any other manner inconsistent with the Purposes of the United Nations.”

“รัฐสมาชิกทั้งปวงจะต้องละเว้นจากการข่มขู่หรือการใช้กำลังต่อบูรณภาพแห่งดินแดนหรือเอกราชทางการเมืองของรัฐอื่น หรือในลักษณะอื่นใดที่ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของสหประชาชาติ”

จาก UN Charter หรือกฎบัตรประชาชาติข้อนี้จะเห็นได้ว่า รัฐสมาชิกของ UN ซึ่งในที่นี้สามารถหมายรวมถึงรัฐทุกรัฐได้เลย เพราะมันได้กลายเป็นกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างกันในทุกรัฐไปแล้ว ระบุชัดว่า เราต้องงดเว้น ละเว้น การใช้กำลังต่อรัฐอื่น

อย่างไรก็ดี การใช้กำลังมีได้ 2 กรณี คือเป็นไปตามคณะความมั่นคงของสหประชาชาติหรือ UNSC และ การป้องกันตนเอง (Self-defense) ตาม ข้อ 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งอนุญาตให้รัฐใช้กำลังได้หากถูกโจมตีโดยอาวุธ

Article 51

“Nothing in the present Charter shall impair the inherent right of individual or collective self-defence if an armed attack occurs against a Member of the United Nations, until the Security Council has taken measures necessary to maintain international peace and security. Measures taken by Members in the exercise of this right of self-defence shall be immediately reported to the Security Council and shall not in any way affect the authority and responsibility of the Security Council under the present Charter to take at any time such action as it deems necessary in order to maintain or restore international peace and security.”

ข้อ 51

“ไม่มีสิ่งใดในกฎบัตรฉบับนี้ที่จะเป็นการลดทอนสิทธิอันชอบธรรมของรัฐสมาชิกในการป้องกันตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันตนเองโดยลำพังหรือร่วมกัน หากมีการโจมตีด้วยอาวุธเกิดขึ้นต่อรัฐสมาชิกของสหประชาชาติ จนกว่าคณะมนตรีความมั่นคงจะได้ดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ การดำเนินการใด ๆ ที่รัฐสมาชิกใช้สิทธิในการป้องกันตนเองนั้น จะต้องรายงานต่อคณะมนตรีความมั่นคงโดยทันที และจะต้องไม่กระทบต่ออำนาจและความรับผิดชอบของคณะมนตรีความมั่นคงตามกฎบัตรฉบับนี้ในการดำเนินการใด ๆ ที่เห็นว่าเหมาะสมเพื่อรักษาหรือฟื้นฟูสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ”

การเกิดสิทธิในการป้องกันตนเอง

ดังที่ทุกคนได้เห็นกันแล้วนั้นว่าการใช้กำลังระหว่างประเทศมีข้อยกเว้นให้ใช้ได้ในสองกรณี และทั้งสองกรณีมีที่มาในการใช้แตกต่างกัน

ประเทศไทยในตอนแรกเมื่อเกิดเรื่องขึ้นเหมือนเรายังไม่สามารถตั้งหลักอะไรได้ เพราะกว่าจะพูดว่าใครเป็นคนโจมตีก่อน ก็ดูเหมือนกัมพูชาได้ชิงการพูดก่อนจนทำให้ผู้คนที่อ่านข่าวต่างประเทศก็เชื่อไปแล้วว่าไทยเป็นคนโจมตีไปยังกัมพูชาก่อน กัมพูชาจึงเกิดสิทธิและหน้าที่ในการป้องกันตนเองซึ่งเป็นสิทธิอันชอบธรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ดี ผมค่อนข้างเชื่ออย่างมากว่าข้อเท็จจริงไม่มีทางเป็นไปในทิศทางนั้น จึงได้ไปแสวงหาข้อกล่าวอ้างของกัมพูชามาว่า เหตุอะไรเป็นเหตุที่เขากล่าวว่าไทยเป็นคนเริ่มการโจมตี ผลการค้นหาเบื้องต้นค่อนข้างคลุมเครือ จากฝั่งกัมพูชาซึ่งได้กล่าวอ้างว่าไทยได้นำเอาลวดหนามไปวางไว้เพื่อไม่ให้คนกัมพูชาเข้าตัวปราสาทตาเมือนธม ซึ่งสอดคล้องกับการรายงานจากฝั่งไทยก่อนหน้านี้ว่าจะมีการปิดด่าน และปิดปราสาทเพราะเริ่มมีสัญญาณว่าจะเกิดความรุนแรงเกิดขึ้นในพื้นที่ตัวปราสาทตาเมือนธม จากการระดมคนร้องเพลงว่านี่คือปราสาทของกัมพูชา ซึ่งตามหลักการแล้วมันไม่สามารถทำได้ในดินแดนของประเทศไทย จึงมองได้ว่าเป็นการยั่วยุจากฝั่งกัมพูชาเอง จึงต้องปิดตัวปราสาทตาเมือนธมไว้

ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่ง หากเราดูใน Google Map อาจทำให้เข้าใจได้ว่า ปราสาทตาเมือนธมอยู่ในเขตแดนของกัมพูชา แต่ต้องย้ำอีกครั้งว่า Google Map นั้นมีจุดประสงค์ทำขึ้นมาให้ประชาชนโดยทั่วไปใช้ และเป็นการจัดทำขึ้นของบริษัทเอกชน ไม่ได้สอดคล้องกับหลักการทางกฎหมายระหว่างประเทศ หรือไม่ได้ยึดโยงกับเส้นเขตแดนระหว่างประเทศที่แท้จริง อีกทั้งไม่ได้มีข้อผูกพันธ์ทางกฎหมายใด ๆ ในตัว Application ดังกล่าว

อีกประการหนึ่งคือ ปราสาทตาเมือนธม ทั้งตัวปราสาทและพื้นที่โดยรอบเอง อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของประเทศไทยมาโดยตลอดตั้งแต่ยังไม่มีประเทศที่ชื่อว่ากัมพูชาด้วยซ้ำ อีกทั้งกัมพูชายังยอมรับว่าไทยเป็นผู้ควบคุมดูแลจัดการพื้นที่ตรงนี้มาโดยตลอดจึงไม่สามารถมาอ้างสิทธิได้ในแบบปัจจุบันที่พยายามจะเคลม

โดยข้อมูลในอีกบทความหนึ่ง (ปราสาทตาเมือนธม เป็นของใคร) จะชี้ให้เห็นว่าปราสาทตาเมือนธมอยู่ในดินแดนของไทย ซึ่งการดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่ดินแดนของไทยนั้นถือว่าเป็นสิทธิโดยสมบูรณ์ไม่มีใครจะแย่งจากเราไปได้ เพราะเรามีอำนาจอธิปไตยในการจัดการดินแดนของตนเอง ไม่สามารถถือเอาว่าการวางลวดหนามในดินแดนของตนเป็นการรุกรานตามที่กัมพูชากล่าวอ้างได้เลย และเมื่อไทยไม่ยอมดังนั้นแล้ว กัมพูชาจึงเริ่มเป็นฝ่ายยิงก่อนเข้ามาในดินแดนของไทย

ซึ่งข้อเท็จจริงที่ปรากฎเป็นไปตามนี้ทำให้ไทย เกิดสิทธิในการป้องกันตนเองทันที แต่การป้องกันตนเองต้องได้สัดส่วนของการละเมิด หากกัมพูชาอ้างว่าตนเองโดนรุกรานจึงต้องป้องกันตนเอง การใช้ BM21 ซึ่งเป็นอาวุธหนักยิงเข้ามาก็ไม่สมเหตุผลของการป้องกันตนเองแล้ว มันเป็นการเริ่มต้นการรบอย่างเต็มรูปแบบชัด ๆ ซึ่งเขาไม่มีสิทธิในการอ้างสิทธิการป้องกันตนเองอยู่แล้วเพราะเขาเป็นคนยิงก่อน

ไทยตอนแรกตั้งหลักไม่ได้เลยเพราะโดนสื่อจัดเตรียม ของกัมพูชาชิงพูดก่อน เราอาศัยความเป็น สุภาพบุรุษ ในสนามรบ แต่มาเข้าใจภายหลังว่าเรากำลังสู้อยู่กับโจรป่า ที่กระทำการต่าง ๆ เพียงเพราะหวังผลทางการเมืองระหว่างประเทศที่ต้องการจะเลียไปยังฝั่ง US (และในอนาคตหากไม่สมประสงค์ คงหักหลังเขาอีกตามสไตล์)

ท้ายที่สุดนี้

เอาล่ะ เราคงได้เห็นข้อมูลผสมความคิดเห็นเกี่ยวกับกฎหมายระหว่างประเทศเรื่องการใช้กำลังกันประมาณหนึ่งแล้วนะครับเกี่ยวกับการใช้กำลังตามกฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีเมือง ผ่านกรณีศึกษาของ ไทยกัมพูชา และหวังว่าทุกคนคงมีความสงสัยใคร่ครู่เกี่ยวกับ กฎหมายระหว่างประเทศสืบต่อไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Prev
ปราสาทตาเมือนธม เป็นของใคร
Prasat Ta Muen Thom ปราสาทตาเมือนธมของใคร

ปราสาทตาเมือนธม เป็นของใคร

ปราสาทตาเมือนธม ในยุคล่าอาณานิคม: การยืนยันอธิปไตยของสยามท่ามกลางการปักปันเขตแดน

Next
สิ่งที่ผมบอกพวกเขาเกี่ยวกับ “FTSE Russell”
FTSE

สิ่งที่ผมบอกพวกเขาเกี่ยวกับ “FTSE Russell”

บทสนทนามักจะวนกลับมาที่คำสี่พยางค์ที่ฟังดูน่าเกรงขาม: “FTSE Russell”

You May Also Like