ประชาธิปไตยไทยดีกว่านี้ได้อย่างไร | บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของวาระสำคัญของ TED Democracy ซึ่ง TEDxBangKhunThian หยิบเราสาระสำคัญให้เหมาะสมกับริบทประเทศไทย ภายใต้ความท้าทายของระบอบประชาธิปไตยให้เป็นไปตามมาตรฐานโลก
ประชาธิปไตยไทยดีกว่านี้ได้อย่างไร?
ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์ทางด้านกฎหมายประเทศหนึ่งของโลก เพราะกระบวนการเกิดของกฎหมายนั้นมีที่มาที่ไปมาจากหลายระบบ เช่นระบบลายลักษณ์อักษร เล่มประมวลกฎหมาย มีระบบกฎหมายจารีตประเพณี ผ่านพระราชบัญญัติและยังมีความเชื่อค่านิยมในอดีตแฝงอยู่ในปัจจุบันด้วย
เหตุที่ทำให้บ้านเมืองเรามีลักษณะเฉพาะขนาดนี้คือการเข้ามามีอิทธิพลของโลกตะวันตกที่มองว่ากฎหมายของประเทศไทยสมัยก่อนการร่างประมวลกฎหมายในไทยนั้นมีความล้าหลัง
ล้าหลังอย่างไร? เพราะสมัยก่อนกระบวนการพิสูจน์ความผิดในประเทศไทยมีหลายระบบมาก ยกตัวอย่างคือการหาใครว่าทำผิด ให้ดำน้ำดูว่าจะขาดใจตายหรือไม่ หรือให้เดินลุยไฟเพื่อดูว่าจะตายหรือไม่เพื่อพิสูจน์ตัวเอง อีกทั้งยังมีการใช้การเขี้ยนตีเป็นร้อย ๆ ครั้ง ซึ่งหลายต่อหลายกรณีก็มีการเฆี่ยนตีกันจนตายก็มี
ในเมื่อต่างชาติเข้ามาติดต่อการค้าย่อมไม่สบายใจหากมีกระบวนการพิสูจน์ความผิดดังว่า จึงมีการกฎหมายขึ้นมาใหม่โดยสมัยนั้นบุคลากรที่มีความสามารถด้านกฎหมายในประเทศไทย นำโดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ก็มาจากการเรียนฝั่งอังกฤษซึ่งใช้กฎหมายจารีตประเพณีระบบพระราชบัญญัติ (Common Law) ความตั้งใจจะทำให้ระบบกฎหมายในไทยเป็นแบบฝั่งอังกฤษ แต่การจะทำระบบกฎหมายแบบอังกฤษนั้นไม่ง่ายและใช้เวลานานมากเพราะกว่าจะรวบรวมจารีตในบ้านเราเป็นระบบกฎหมายคงไม่ทันการต่างชาติคงเข้ามายึดประเทศเราหมด รัชกาลที่ 5 จึงสั่งให้มีการเอากฎหมายระบบประมวล (Civil law) มาใช้โดยการจ้างคัดลอกดัดแปลง แปล มาจากฝั่งเยอรมัน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่นและอื่น ๆ
แต่เนื่องจากบุคคลากรด้านกฎหมายของไทยในสมัยนั้นความรู้ก็มาจากฝั่งอังกฤษ การใช้กฎหมาย การตีความจึงมีความผสมปนเปกันของสองระบบ อะไรที่ต่างชาติว่าดีเราก็หยิบมาใช้มาแปลแบบถู ๆ ไถ ๆ ไปก่อน จึงเป็นเหตุผลที่ว่าไทยมีระบบกฎหมายหลายลักษณ์อักษรซึ่งต้องใช้ประมวลกฎหมาย แต่ในประเทศไทยมีพระราชบัญญัตินับพันฉบับซึ่งมาจากคนละระบบกัน
ที่เกริ่นมายืดยาวจะบอกว่าระบบไทยนั้นมีความเป็นเอกลักษณ์ซึ่ง การเปรียบเทียบให้เป็นอย่างประเทศนู้นหรือประเทศนี้คงใช้ไม่ได้กับเราเสียทีเดียว
กลับมาที่ระบบการปกครองของประเทศไทย อย่างที่ทุกคนรู้กันว่าประเทศไทยปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขตามรัฐธรรมนูญทุก ๆ ฉบับ หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
อำนาจอธิปไตย ไทยตามรัฐธรรมนูญ 60
และในรัฐธรรมนูญ ปี 60 มาตรา 3 ชี้ให้เห็นว่าอำนาจอธิปไตย ซึ่งเป็นอำนาจที่สูงสุดของประเทศในการกำหนดสิ่งต่าง ๆ เป็นของปวงชน นั่นหมายความว่าประชาชนสัญชาติไทยนั้นเป็นผู้มีสิทธิในการกำหนดสิ่งต่าง ๆ ของประเทศก็คือระบอบประชาธิปไตยนั่นเอง
ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันเป็นที่ยอมรับย่อมมีการแบ่งแยกอำนาจ 3 อำนาจเพื่อตรวจสอบถ่วงดุลกันดังนี้ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ
อย่างไรก็ตามประเทศไทยอยู่ในระบอบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และในเมื่ออำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน แล้วกษัตริย์มีอำนาจอะไรในระบอบอันเป็นเอกลักษณ์นี้?
ในรัฐธรรมนูญปี 60 มาตรา 3 ก็ยังเขียนไว้อีกว่า กษัตริย์ทรงเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยนั้นไงผ่านไปยังรัฐสภา อำนาจบริหาร และตุลาการ ในระบอบแบบนี้จริงอยู่ที่ปวงชนเป็นเจ้าของอำนาจ แต่ปวงชนส่งเจตนารมณ์ในการใช้อำนาจนั้นผ่านไปให้กษัตริย์ใช้อำนาจนั้นอีกที เพื่อเป็นการสร้างสมดุลถึงสถาบันกษัตริย์ที่เปรียบเสมือนชาติให้อยู่ร่วมกับปวงชนชาวไทยได้อย่างลงตัว
ประชาธิปไตย มีการแบ่งแยกอำนาจ
ใน 3 อำนาจ นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการนั้น ปวงชนชาวไทย สามารถแสดงเจตจำนงและ ความต้องการของตนเองได้ดีที่สุดผ่านอำนาจนิติบัญญัติระบบรัฐสภาที่เป็นระบบเดียวในสามอำนาจนี้ที่มีการเลือกตั้งเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทยในระบอบประชาธิปไตยแบบนี้เพื่อสะท้อนว่าประชาชนต้องการอะไร
ประชาธิปไตย คือการมีเสรีภาพในความคิดและการเลือก ซึ่งย่อมเป็นเรื่องปกติในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี ที่มีความแตกต่าง แต่ประชาธิปไตยจะเป็นระบบที่บอกว่าเราสามารถอยู่ร่วมกันได้ผ่านเสียงข้างมากของความต่างทางความคิด
ดังนั้น หัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขอย่างไทยนั้นก็คือ เสียงและ ความคิด ของทุกคนนั้นล้วนมีความหมาย แต่เราสามารถอยู่กันได้ตามเสียงข้างมากของปวงชนชาวไทย อีกทั้งยังเป็นระบอบที่แก้ไขความขัดแย้งความเห็นต่างทางสังคมให้อยู่กันได้อีกด้วย
ยุบพรรคการเมือง ทำลายประชาธิปไตย?
สืบเนื่องจากการยุบพรรคการเมืองในประเทศไทยที่เกิดขึ้นจนคล้ายจะเป็นเรื่องปกติในประเทศไทย ความหมายทางอ้อมของการยุบพรรคการเมืองนั้นคือการยุบความคิดเห็นที่แตกต่าง เจตจำนงของปวงชนชาวไทยที่เลือกพรรคนั้น ๆ ไปด้วย
การยุบพรรคการเมือง เป็นมาตรการทางการเมืองที่ถูกสร้างขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อเป็นมาตรการการปกป้องประชาธิปไตยในแต่ละประเทศ แต่เมื่อเอามาใช้กับประเทศไทยแล้วมันย่อมมีความเป็นเอกลักษณ์นำมาใช้ไม่เพียงแต่เพื่อปกป้องประชาธิปไตย ยังเป็นเพื่อการปกป้องระบอบการปกครองและความมั่นคงของรัฐด้วย และมีข้อโต้เถียงมากมายเรื่องการควบคุมทางการเมืองของฝ่ายตุลาการโดยใช้กลวิธีนี้ด้วยหรือไม่
ต้องสืบจนสิ้นสงสัย
ในเรื่องที่คล้ายกันในประเทศไทย คือการตัดสินกฎหมายทางอาญาที่ต้องตีความอย่างเคร่งครัด “การพยายาม” การพยายามกระทำความผิดนั้นหมายความว่าแค่คิดจะทำร้ายใคร ยังไม่ใช่การพยายามทำร้าย แต่การพยายามทำร้ายนั้นต้องเข้าขั้น Last Act คือการกระทำสุดท้ายก่อนจะเกิดการทำร้ายนั่นเอง เช่น การง้างไม้กำลังจะฟาดไปที่คนอื่น
เฉกเช่นเดียวกับการยุบพรรคยิ่งต้องกระทำอย่างเคร่งครัดมิใช่หรอ? เพราะเป็นเหมือนการประหารชีวิตนิติบุคคล บุคคลหนึ่ง การยุบพรรคด้วยมาตรการนี้ควรกระทำซึ่งมีพฤติการณ์ที่เป็น Last Act เช่นเดียวกันหรือไม่?
เพราะความคิดในเรื่องนโยบายเป็นไปสอดคล้องตามสิทธิเสรีภาพทางความคิดตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และแน่นอนเป็นไปตามเจตจำนงของปวงชนชาวไทยผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย อีกทั้งการกระทำของพรรคซึ่งถูกยุบยังเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญยังห่างไกลกับการกระทำซึ่งเป็น Last Act หรือกระบวนการสุดท้ายในการแก้กฎหมายข้อนี้อีกมาก เพราะยังมีอีกนับสิบด่านในการแก้ไขกฎหมายอันเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของรัฐและสถาบันพระมหากษัตริย์อีกด้วย
การยุบพรรคการเมืองจึงเปรียบเสมือนการยุบความคิด เจตจำนง ความประสงค์ร่วมกันชองปวงชนชาวไทย อีกทั้งพรรคการเมืองที่ถูกยุบเป็นกลุ่มชุดความคิดที่ปวงชนชาวไทยเห็นด้วยเป็นอันดับหนึ่งของประเทศอีกด้วย
ทางออกของการยุบพรรคควรมีหรือไม่?
การยุบพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบไทย ที่ผมต้องการนำเสนอไม่ใช่การบอกให้เป็นเหมือนเช่นต่างประเทศเพราะเรานั้นมีเอกลักษณ์ความต่างทางด้านกฎหมาย แต่หากพิจารณาในแง่ของประชาธิปไตยมันเป็นการปิดกั้นทางความคิดและเสรีภาพ อีกทั้งกีดกันคนเห็นต่างทางการเมืองอีกด้วย การตัดสินยุบพรรคการเมืองควรมีเกณฑ์ที่เป็นที่ประจักษ์ชัดกว่านี้ว่าต้องการล้มล้างการปกครอง หรือมีการกระทำที่ประจักษ์ชัดว่าเป็นการปฎิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันทรงมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ด้วยความเคารพต่อศาลรัฐธรรมนูญการให้คำวินิจฉัยว่าเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายทางอ้อมนั้นอาจยังไม่เพียงพอต่อการยุบพรรคการเมือง เพราะการยุบพรรคการเมืองซึ่งเป็นแหล่งรวมร่วมความคิดของปวงชนชาวไทยนั้นอาจเป็นการกระทำที่เซาะกร่อนบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขได้ด้วยเช่นกันหรือไม่?
ระบบประชาธิปไตยไทยจะดีได้ หากเราเปิดใจกว้างขึ้นและนำประเด็นความคิดเห็นต่างของสังคมให้อยู่ร่วมกันได้โดยพึ่งระบบเสียงส่วนใหญ่แต่ไม่ละทิ้งเสียงส่วนน้อยให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญย่อมสวยงามกว่าการยุบเจตจำนงของปวงชนชาวไทยผ่านการยุบพรรคการเมืองหรือเปล่า
สรุปถ้าเรายังยึดในระบอบการปกครองนี้
กล่าวโดยสรุปก็คือ ระบอบประชาธิปไตยไทยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขตามแบบฉบับของไทยนั้นจะมั่งคงแข็งแรงต่อไปได้ ก็ต่อเมื่อ ประชาธิปไตยไทยแข็งแรง และ สถาบันพระมหากษัตริย์แข็งแรง ประเทศไทยจะเป็นเอกลักษณ์และขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งอ่อนแอลงไม่ได้
Comments 1