อำนาจของนายจ้าง ตามกฎหมายแรงงาน | กฎหมายแรงงานเป็นกฎหมายเอกชนกึ่งมหาชน เพราะว่ารัฐเข้ามาแทรกแซงการดำเนินงานของนายจ้างให้มีความเป็นธรรมกับลูกจ้างผู้มีอำนาจต่อรองร้อยกว่าด้วย แต่อย่างไรก็ดีเราต้องยืนหลักว่ากฎหมายแรงงานมันก็คือกฎหมายเอกชน กับเอกชนอยู่ดี เพียงแต่มีรัฐเป็นกรรมการเท่านั้น อะไรที่กฎหมายไม่ห้ามก็ยังทำได้อยู่ตามหลักอิสระแห่งสัญญาทางแพ่งนั่นเอง
อำนาจของนายจ้าง
อำนาจในภาษาไทยมักดูเป็นแง่ลบ แต่ในทางกฎหมาย อำนาจไม่ได้แปลความในแง่ลบเสียทีเดียว อำนาจคือการที่เราสามารถทำอะไรได้และทำอะไรไม่ได้บ้างถ้าเรามีอำนาจ กล่าวคืออำนาจเปรียบเสมือนสิทธิที่เรามีสิทธิที่จะทำอะไรหรือห้ามทำอะไรหากเราไม่มีสิทธิ แต่อำนาจนั่นจะมีพลังมากกว่า คือสามารถควบคุมให้ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้ใช้อำนาจนั่นเอง
อำนาจในการบริหาร
นายจ้างหรือผู้ประกอบการเจ้าของกิจกรรม หรือรวมทั้งนิติบุคคลผู้เป็นนายจ้างนั้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ครอบครองสถานที่ ทรัพย์ หรือทรัพย์สินต่าง ๆ ที่กิจการเป็นเจ้าของ อำนาจของนายจ้างก็มีสิทธิในสิทธิิต่าง ๆ เหนือตัวทรัพย์นั้น ก็จะมีสิทธิเช่น กรรมสิทธิ ที่มีสิทธิหวงกันเอาทรัพย์นั้น ติดตาม เรียกเอาคืนทรัพย์ ตามมาตรา 1336 เป็นต้น
ประมวลแพ่งและพานิชย์: มาตรา 1336 ภายในบังคับแห่งกฎหมาย เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอยและจำหน่ายทรัพย์สินของตนและได้ซึ่งดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้น กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากเหนือตัวทรัพย์แล้ว นายจ้างนังมีอำนาจในการบริหารจัดการกิจการให้ประสบความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายของกิจการได้ทุกอย่างตราบที่กฎหมายไม่ห้ามตามอิสระทางแพ่ง (private autonomy) และเป็นไปตามหลักหลักเสรีภาพในการทำสัญญา (freedom of contract)
ประมวลแพ่งและพานิชย์: มาตรา 149 นิติกรรม หมายความว่า การใด ๆ อันทำลงโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ “
แต่หลักอิสระทางแพ่งและเสรีภาพในการทำสัญญาก็ห้ามทำสัญญาให้มันขัดกับกฎหมายของประเทศไม่ว่ากฎหมายใด ๆ ก็ตามนะไม่ใช่จะอิสระไปทั้งหมด เพราะกฎหมายแรงงานเองรัฐเข้ามากำกับดูแล และมีกฎหมายแรงงานครอบไว้เป็นการเฉพาะ
ประมวลแพ่งและพานิชย์: มาตรา 150 การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ
ประมวลแพ่งและพานิชย์: มาตรา 151 การใดเป็นการแตกต่างกับบทบัญญัติของกฎหมาย ถ้ามิใช่กฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นไม่เป็นโมฆะ
ซึ่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายแรงงาน ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดี ที่นายจ้างต้องรู้ไว้มี
- พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
- พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒
- ประมวลแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ 6 จ้างแรงงาน
- พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๔
- พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518
และอีกหนึ่งที่สำคัญที่สุด คือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งไม่ว่าออกกฎใด ๆ มาก็ห้ามขัดกับรัฐธรรมนูญ
ซึ่งอำนาจเกี่ยวกับการบริหารกิจการ เป็นอำนาจในการจัดการทั่วไปเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการ เช่น
- อำนาจในการวางแผน
- อำนาตในการจัดการองค์กร จัดการองค์การ
- อำนาจในการจัดคนเข้าทำงาน
- อำนาจบังคับบัญชา
- อำนาจอำนวยการ
- อำนาจในการควบคุม
- อำนาจในการประสานงานและการได้รับประสานงาน
- อำนาจในการสร้างสรรค์และเปลี่ยนแปลง
กำหนดเงื่อนไขการจ้าง
นายจ้างยังมีอำนาจในการกำหนดเงื่อนไขการจ้างและการทำงาน และบริหารเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกิจการ และต้องไม่ขัดกับกฎหมายข้างต้นในการกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ คือการที่ต้องทำให้ไม่ขัดต่อกฎหมาย
ไม่ขัดกับหลักความเสมอภาค การไม่เลือกปฎิบัติด้วยเหตุที่แตกต่างในถิ่นกำหนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ
รัฐธรรมนูญ 60: มาตรา 27 บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน
ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน
การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือเหตุอื่นใด จะกระทำมิได้
พรบ. คุ้มครองแรงงาน: มาตรา 15 ให้นายจ้างปฏิบัติต่อลูกจ้างชายและหญิงโดยเท่าเทียมกันในการจ้างงาน เว้นแต่ลักษณะหรือสภาพของงานไม่อาจปฏิบัติเช่นนั้นได้
พรบ. คุ้มครองแรงงาน: มาตรา 44 ห้ามมิให้นายจ้างจ้างเด็กอายุต่ำกว่าสิบห้าปีเป็นลูกจ้าง
สรุป อำนาจของนายจ้าง
อำนาจของนายจ้าง ยืนอยู่บนหลักของสัญญา เมื่อมีสัญญาสามารถบังคับใช้กันได้ตามหลัก “สัญญาต้องเป็นสัญญา” หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ทำตามสัญญาก็สามารถฟ้องบังคับกันได้ในฐานะบุคคลสิทธิ และอะไรที่กฎหมายไม่ห้ามไว้ก็สามารถระบุไว้ในสัญญาได้ สัญญาจ้างแรงงานนั้นไม่มีแบบ แต่หากจะให้รัดกุม มีข้อกำหนดและอัตราจ้างการทำสัญญาต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อคู่สัญญาเป็นสำคัญ และการทำสัญญา ที่ระบุหน้าที่และอำนาจของนายจ้างลูกจ้างไว้ก็ห้ามตกลงกันในทางที่เป็นทางต้องห้ามทางกฎหมาย หรือขัดศีลธรรม ความสงบเรียบร้อยด้วย