ถ้าพูดถึง AI ทุกวันนี้ มันไม่ใช่แค่เครื่องมือล้ำ ๆ ในหนัง sci-fi อีกต่อไปแล้ว แต่มันกลายเป็นเพื่อนคู่ใจที่ช่วยให้ การเรียน ของผมง่ายขึ้นเยอะ โดยเฉพาะตอนเตรียมสอบวิชา กฎหมายระหว่างประเทศ (คดีเมือง) ที่ผ่านมา ซึ่งบอกเลยว่าโหด! เคสในวิชานี้เยอะมาก ซับซ้อนสุด ๆ แถมการสอนในห้องยังมีข้อจำกัด เพราะเวลาเรียนน้อยเกินกว่าจะเจาะลึกหรือค้นคว้าเพิ่มเติมได้ สุดท้าย ผมเองก็ดันเป็นประเภทที่ไม่เคยไปนั่งเรียนในห้องเลย อาศัยฟังบันทึกย้อนหลังที่เพื่อนส่งมาให้ (รู้อยู่แล้วว่าไม่ดีเท่าไหร่ ควรไปนั่งเรียนจริง ๆ นะ 555)
แต่สิ่งที่ทำให้ผมรอดมาได้คือ AI ผมใช้ AI ถึง 4 ตัวเป็นตัวช่วยในการเรียนเดี่ยว และพบว่ามันเปลี่ยนวิธีที่ผมเข้าใจเนื้อหาไปเลย วันนี้เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ว่าทำไม AI ถึงเป็นเครื่องมือที่เจ๋ง และมันช่วยผมในฐานะนักเรียนกฎหมายที่เรียนคนเดียวได้ยังไงบ้าง
AI 4 ตัว: ทีมซูเปอร์ฮีโร่ของผม
ตอนนั่งเรียนคนเดียว ผมรู้สึกเหมือนกำลังต่อสู้กับกองเอกสารและเคสกฎหมายที่เยอะจนหัวระเบิด แต่ AI 4 ตัวนี้เหมือนทีมซูเปอร์ฮีโร่ที่มาช่วยผมจัดการทุกอย่าง:
- Grok – ตัวนี้เจ๋งตรงที่มันมองข้อมูลในมุมที่ไม่เหมือนใคร เพราะมันจะดึงข้อมูลจากโซเชียลมีเดียมาประกอบด้วย อย่างเช่น ถ้าผมถามเกี่ยวกับเคสกฎหมายระหว่างประเทศ มันอาจจะโยงไปถึงความเห็นของคนใน X หรือเทรนด์ที่กำลังพูดถึง ซึ่งช่วยให้ผมเห็นบริบทที่กว้างขึ้น
- Gemini – อันนี้ผมใช้หาข้อมูลที่อยู่ในจักรวาลของ Google ไม่ว่าจะเป็นบทความวิชาการหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง มันเหมือนเป็นตัวช่วยค้นคว้าที่เร็วและแม่น
- ChatGPT – ตัวนี้เป็นพื้นฐานทั่วไป ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ก็ครอบคลุม เหมาะกับการถามคำถามเบื้องต้นหรือขอคำอธิบายง่าย ๆ
- Copilot ของ Microsoft – ตัวนี้ผมยกให้เป็น MVP! เพราะทุกประโยคที่มันตอบจะมีแหล่งอ้างอิงให้ตลอด (จริง ๆ มันใช้ API ของ ChatGPT อีกทีแหละ) ซึ่งสำคัญมากสำหรับวิชากฎหมายที่ต้องเช็กความน่าเชื่อถือของข้อมูล
ทั้ง 4 ตัวนี้ทำงานร่วมกันเหมือนวงดนตรีที่แต่ละคนเล่นเครื่องดนตรีต่างกัน แต่รวมแล้วลงตัวสุด ๆ จากประสบการณ์นี้ ผมสรุปข้อดีของการใช้ AI ช่วยเรียนเดี่ยวได้เป็น 3 ต. คือ ตั้งหลัก ตรวจสอบ และต่อยอด มาดูกันทีละขั้นตอนว่ามันช่วยผมยังไงบ้าง!
1. ตั้งหลัก: จากงง ๆ สู่ความเข้าใจในพริบตา
การเรียน คนเดียวมันไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะเมื่อต้องฟังบันทึกย้อนหลังที่บางทีเสียงไม่ชัด หรือเจอศัพท์เทคนิคที่ฟังแล้วงง คำถามในหัวมันเยอะมาก เช่น “เคสนี้มันเกี่ยวกับอะไร? ศาลตัดสินยังไง?” หรือบางทีเนื้อหาก็เร็วเกินจนตามไม่ทัน (ถึงไปนั่งในห้องเรียนก็มีเรื่องที่ไม่เก็ทอยู่ดีแหละ)
แต่พอมี AI ทุกอย่างเปลี่ยนไป ผมแค่โยนคำถามที่ไม่เข้าใจเข้าไป เช่น “ช่วยอธิบายเคส ICJ เรื่อง Corfu Channel ให้หน่อย แบบง่าย ๆ” แล้วสั่งให้มันสรุปสั้น ๆ หรือยกตัวอย่างให้เข้าใจง่าย ผลคือ AI ทำให้ผมเห็นภาพรวมของเคสในเวลาไม่กี่นาที! อย่างเช่น มันอาจจะบอกว่า “เคสนี้เกี่ยวกับอังกฤษฟ้องแอลเบเนียเพราะเรือรบถูกระเบิดในน่านน้ำ ศาลตัดสินว่าแอลเบเนียต้องรับผิดชอบ” พร้อมยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นภาพ วิธีนี้ช่วยให้ผมตั้งหลักได้เร็ว เหมือนมีติวเตอร์ส่วนตัวที่พร้อมอธิบาย 24/7
ที่สำคัญ AI ยังช่วยแปลศัพท์เทคนิคหรือกฎหมายที่ซับซ้อนให้เป็นภาษาคน เช่น คำว่า “sovereign immunity” ที่ฟังแล้วเหมือนภาษาเอเลี่ยน AI สามารถบอกว่า “มันคือสิทธิที่รัฐมี ไม่ต้องถูกฟ้องในศาลต่างประเทศ” แค่นี้ก็อ๋อแล้ว! การตั้งหลักแบบนี้ทำให้ผมมั่นใจมากขึ้น แม้จะเริ่มจากศูนย์ก็ตาม
2. ตรวจสอบ: อย่าเชื่อใครง่าย ๆ แม้แต่ AI
ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยไว้ใจใครง่าย ๆ แม้แต่ AI ก็เถอะ 555 เพราะเคยเจอมาว่า AI บางตัวก็ตอบผิดหรือให้ข้อมูลที่คลุมเครือได้ เลยต้องมีวิธีตรวจสอบ ผมจะเอา AI ทั้ง 4 ตัวนี้มาวัดกัน โดยถามคำถามเดียวกัน เช่น “ในเคส Nicaragua v. United States ศาล ICJ ตัดสินยังไง?” แล้วดูว่าแต่ละตัวตอบเหมือนหรือต่างกันยังไง
ผลคือบางประเด็นทั้งสี่ตัวเห็นพ้องต้องกัน เช่น “ศาลตัดสินว่าสหรัฐผิดเพราะแทรกแซงนิการากัว” แต่บางประเด็นก็มีมุมต่าง เช่น Grok อาจจะโยงไปถึงความเห็นในโซเชียลมีเดียว่าเคสนี้เป็นกรณีตัวอย่างของการเมืองระหว่างประเทศ ส่วน Copilot จะให้แหล่งอ้างอิงจากเอกสารวิชาการ ความต่างตรงนี้แหละที่ทำให้ผมฉุกคิดว่า “อะไรจริง อะไรไม่จริง?” ถ้าสงสัยมาก ๆ ผมก็จะไปค้นคว้าเองเพิ่มจากหนังสือหรือบทความ
อีกอย่างที่ AI ช่วยได้เยอะคือการทำข้อสอบเก่า ซึ่งคนเรียนกฎหมายรู้ดีว่ามันคือกุญแจสู่ความสำเร็จ โจทย์กฎหมายมันไม่เคยง่าย มันไม่ใช่ 1+1=2 แต่จะมาแนวประหลาด ๆ เช่น “สมมติรัฐ A ทำ X แล้วรัฐ B ฟ้องศาล ICJ โดยอ้างข้อ Y ผลจะเป็นยังไงถ้า Z เกิดขึ้น?” หรือแบบ “1+49-259/N = 29 ที่ N = 42 ฟังขึ้นมั้ย เพราะอะไร?” อะไรแบบนี้
ผมจะลองทำข้อสอบเก่าก่อน แล้วให้ AI ทั้ง 4 ตัวทำคำตอบเปรียบเทียบ บอกเลยว่าช่วยได้โคตรเยอะ! มีครั้งหนึ่งผมมั่นใจว่าคำตอบตัวเองถูก แต่พอเห็นคำตอบของ Copilot ที่อ้างอิงหลักกฎหมายชัดเจน ผมถึงรู้ว่า “เฮ้ย AI ถูก แต่เรายังเข้าใจผิด!” สุดท้ายการเปรียบเทียบแบบนี้ทำให้ผมเข้าใจเนื้อหาลึกซึ้งขึ้น ทำข้อสอบได้ดีขึ้น และมั่นใจกว่าเดิมเยอะ
3. ต่อยอด: ขยายความคิดไปไกลกว่าเดิม
การใช้ AI ไม่ได้หยุดแค่การตอบคำถาม แต่ช่วยให้ผมต่อยอดความคิดได้ด้วย อย่างที่ผมเพิ่งอ่านในหนังสือ Marketing 6.0 เขาบอกว่า Gen Y อย่างเรามองเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ ส่วน Gen Z กับ Alpha มองมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน พอมาใช้ AI ผมยิ่งเห็นภาพชัด ด้วยความที่เราเป็น Gen Y สุดท้ายเสียด้วย (555) ผมเลยชอบใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยตัดสินใจและขุดข้อมูลเพิ่ม มันเหมือนให้มุมมองใหม่ ๆ เป็นตัวเลือกที่ทำให้เข้าใจอะไร ๆ ได้มากขึ้น
ตัวอย่างเช่น ตอนเจอเคสกฎหมายที่ซับซ้อน ผมอาจจะถาม AI ว่า “ถ้าเคสนี้เกิดในบริบทปัจจุบัน ผลจะต่างจากเดิมยังไง?” แล้ว AI อาจจะโยงไปถึงสถานการณ์การเมืองโลก หรือกฎหมายใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผมไม่เคยคิดถึงมาก่อน มันเหมือนจุดประกายให้ผมอยากไปค้นคว้าเพิ่ม หรือเอาไปประยุกต์กับโจทย์อื่น ๆ
แต่ถึง AI จะเจ๋งแค่ไหน ผมก็ยังยึดอำนาจตัดสินใจไว้กับตัวเอง AI เป็นแค่เครื่องมือต่อยอด ช่วยให้เห็นมุมต่าง ๆ แต่สุดท้ายเราต้องมานั่งคิดเองว่าจะเชื่อมันหรือไม่ ยังไงก็ตาม การมี AI อยู่เคียงข้างทำให้ผมเก่งขึ้นในเวลาจำกัดมาก ๆ โดยเฉพาะในวิชาที่เคสเยอะและต้องวิเคราะห์เยอะอย่างกฎหมาย
AI และอนาคต: อย่ากลัว แต่จงใช้ให้เป็น
เขียนมายาว ๆ เพื่อจะแชร์ว่า AI ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวหรือมาแทนที่มนุษย์ แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมาก ถ้าใช้อย่างมีสติ ผมเคยคิดว่า AI ตะวันตกจะไปรู้เรื่องกฎหมายไทยได้ยังไง แต่ปรากฏว่ามันรู้ลึกกว่าที่คิด!
สำหรับคนที่ยังต่อต้าน AI หรือรู้สึกว่าปรับตัวไม่ทัน ผมอยากชวนให้ลองเปิดใจดู มันทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน หรือแม้แต่การตัดสินใจในชีวิตประจำวัน สิ่งสำคัญคือต้องใช้มันอย่างฉลาด รู้จักตั้งคำถาม และตรวจสอบข้อมูลให้ดี
สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นคือความสามารถในการใช้เครื่องมือให้เกิดประโยชน์ และในยุคนี้ AI คือเครื่องมือที่พร้อมพาเราไปไกลกว่าเดิม มนุษย์ก้าวข้ามขีดจำกัดได้ เพราะรู้จักใช้เครื่องมือให้เป็นพลัง