สนธิสัญญา: กฎหมายระหว่างประเทศคือระบบกฎหมายที่ควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งมีที่มาจากหลายแหล่งที่มา เพื่อให้เกิดความร่วมมือและความสงบสุขในเวทีโลก แหล่งที่มาที่สำคัญที่สุดและเป็นรากฐานของกฎหมายระหว่างประเทศคือ สนธิสัญญา
- กฎหมายระหว่างประเทศ 101: คดีเมือง
- การให้เหตุผลทางกฎหมาย
- กฎหมายภาษี เบื้องต้น นโยบายการเงิน นโยบายการคลัง
กฎหมายระหว่างประเทศเกิดขึ้นจากไหน?
ตาม มาตรา 38 ของธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (Statute of the International Court of Justice) ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่นักกฎหมายระหว่างประเทศใช้กันทั่วโลก ได้ระบุถึงบ่อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศไว้ 4 ประการ ดังนี้:
- อนุสัญญาและสนธิสัญญา (Treaties and Conventions)
- จารีตประเพณีระหว่างประเทศ (Customary International Law)
- หลักกฎหมายทั่วไป (General Principles of Law)
- คำพิพากษาของศาลและคำสอนของผู้ทรงคุณวุฒิ (Judicial Decisions and Teachings of Publicists)
ในบรรดาแหล่งที่มาเหล่านี้ สนธิสัญญา ถือเป็นบ่อเกิดที่ชัดเจนและสำคัญที่สุด เพราะเป็นข้อตกลงที่รัฐต่างๆ ตกลงกันเองเพื่อสร้างกฎเกณฑ์ที่มีผลผูกพัน
สนธิสัญญาคืออะไร?
สนธิสัญญาคือ ข้อตกลงที่มีผลผูกพันระหว่างประเทศ ที่กำหนดสิทธิและหน้าที่ของประเทศที่เข้าร่วม การใช้อนุสัญญาระหว่างประเทศได้รับการรับรองและวางกรอบไว้อย่างเป็นระบบใน อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969 (Vienna Convention on the Law of Treaties, 1969)
รัฐอธิปไตยใช้สนธิสัญญาเพื่อร่วมมือกันในประเด็นต่างๆ ตั้งแต่เรื่องสำคัญระดับโลกอย่าง การป้องกันทางทหาร การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ไปจนถึงเรื่อง การค้า และความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งรวมถึงการกำหนด อำนาจรัฐ เหนือ เขตแดน ของตน และ การใช้อำนาจอธิปไตย ในด้านต่างๆ
ความตกลงที่ทำขึ้นระหว่างบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศ จะถือเป็นสนธิสัญญาเมื่อมีลักษณะสำคัญ
- ทำเป็นหนังสือ
- อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ
- ไม่ว่าจะปรากฏเป็นเอกสารกี่ฉบับก็ตาม
- ไม่ว่ามีชื่อเรียกอย่างใดก็ตาม (เช่น อนุสัญญา ข้อตกลง พิธีสาร กฎบัตร ปฏิญญา)
สนธิสัญญาบางอย่างอาจไม่ใช่สนธิสัญญาหลายฝ่ายโดยตรง แต่ก็มีความสำคัญอย่างมากเพราะ มันสะท้อนแนวปฏิบัติ ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เช่น มติระหว่างประเทศ หรือข้อตกลงที่นำไปสู่การพัฒนากฎหมายจารีตประเพณีในภายหลัง
ข้อชวนคิด MOU บันทึกความเข้าใจ กับสนธิสัญญาต่างกันอย่างไร
Memorandum of Understanding – MOU หรือบันทึกความเข้าใจ คือ เอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่แสดงถึงความเข้าใจหรือความตั้งใจร่วมกันระหว่างสองฝ่ายหรือมากกว่า ในบริบทของกฎหมายระหว่างประเทศ MOU มักถูกใช้ระหว่างรัฐหรือหน่วยงานของรัฐเพื่อแสดงเจตนารมณ์ที่จะร่วมมือกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่โดยทั่วไปแล้ว ไม่มีเจตนาที่จะก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศโดยตรง
ลักษณะสำคัญของ MOU
- ใช้ในเรื่องทางเทคนิคหรือการบริหาร: บ่อยครั้งใช้สำหรับความร่วมมือทางเทคนิค โครงการความร่วมมือเฉพาะกิจ การแลกเปลี่ยนข้อมูล หรือการกำหนดกรอบความร่วมมือเบื้องต้นที่ยังไม่ต้องการข้อผูกพันที่เคร่งครัด
- ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายโดยตรง: นี่คือความแตกต่างที่สำคัญที่สุด MOU มักถูกมองว่าเป็น “ข้อตกลงลูกผู้ชาย” (gentleman’s agreement) หรือ “ข้อตกลงทางการเมือง” ที่แสดงความตั้งใจดี แต่ไม่สามารถนำไปฟ้องร้องบังคับใช้ตามกฎหมายระหว่างประเทศได้
- รูปแบบที่ไม่เป็นทางการนัก: มักมีภาษาที่ยืดหยุ่นกว่าสนธิสัญญา ใช้ถ้อยคำที่แสดงความตั้งใจ (เช่น “จะพยายาม” “มีเป้าหมายที่จะ”) แทนที่จะเป็นถ้อยคำที่บ่งบอกถึงข้อผูกพัน (เช่น “ตกลง” “ต้อง”)
- กระบวนการที่ยืดหยุ่นกว่า: มักไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการอนุมัติจากรัฐสภาที่ซับซ้อนเหมือนสนธิสัญญา ทำให้ทำได้รวดเร็วและง่ายกว่า
ประเภทของสนธิสัญญา
สนธิสัญญาอาจแบ่งประเภทได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้
- แบ่งตามจำนวนภาคี
- Bilateral treaty (สนธิสัญญาสองฝ่าย): เป็นข้อตกลงระหว่างสองประเทศเท่านั้น
- Multilateral treaty (สนธิสัญญาหลายฝ่าย): เป็นข้อตกลงที่มีประเทศเข้าร่วมมากกว่าสองประเทศขึ้นไป เช่น สนธิสัญญาว่าด้วยการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์
- แบ่งตามลักษณะทางกฎหมายของสนธิสัญญา
- Contract-treaty (สนธิสัญญาในลักษณะสัญญา): มีลักษณะคล้ายสัญญาในกฎหมายเอกชน คือกำหนดสิทธิและหน้าที่เฉพาะเจาะจงระหว่างภาคีคู่สัญญา มักเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกัน เช่น สนธิสัญญาการค้าเสรีระหว่างสองประเทศ
- Law-making treaty (สนธิสัญญาที่ก่อให้เกิดกฎหมาย): มีวัตถุประสงค์เพื่อวางกฎเกณฑ์ทั่วไปที่ใช้บังคับกับประชาคมระหว่างประเทศโดยรวม มักเป็นสนธิสัญญาหลายฝ่ายที่มีประเทศเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก เช่น อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล
ประเด็นสำคัญของกฎหมายสนธิสัญญา
กฎหมายสนธิสัญญาครอบคลุมขั้นตอนและหลักการสำคัญหลายประการที่ทำให้สนธิสัญญามีผลใช้บังคับและสามารถคงอยู่ได้อย่างสมบูรณ์
- การทำสนธิสัญญา / การแสดงเจตนาเข้าผูกพันในสนธิสัญญา: ขั้นตอนตั้งแต่การเริ่มต้นจนถึงการยอมรับผูกพัน
- ความสมบูรณ์ของสนธิสัญญา: เงื่อนไขที่ทำให้สนธิสัญญาถูกต้องและมีผลบังคับใช้ได้ตามกฎหมาย
- ผลบังคับของสนธิสัญญา: การที่สนธิสัญญาผูกพันภาคีและต้องปฏิบัติตามอย่างไร
- การแก้ไข / การเปลี่ยนแปลง / การระงับของสนธิสัญญา: กระบวนการในการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกสนธิสัญญา
กระบวนการทำสนธิสัญญา
การทำสนธิสัญญาเป็นกระบวนการที่มีขั้นตอนที่กำหนดไว้ชัดเจน เพื่อให้แน่ใจว่าทุกฝ่ายเข้าใจและยอมรับข้อตกลงร่วมกัน
1. การเจรจา (Negotiation)
- การริเริ่มการเจรจา: อาจเริ่มจากประเทศหนึ่งเสนอแนวคิด หรือจากความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศร่วมกัน
- การแต่งตั้งผู้แทนและการมอบอำนาจ: รัฐบาลจะแต่งตั้งบุคคล (เช่น ทูต เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ) ที่มี “อำนาจเต็ม” (Full Powers) เพื่อเป็นตัวแทนในการเจรจาและลงนาม
- การดำเนินการเจรจาและจัดทำร่างสนธิสัญญา: ผู้แทนจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หาข้อสรุปและร่วมกันเขียนร่างสนธิสัญญาขึ้นมา
2. การลงนามรับรองความถูกต้องของสนธิสัญญา (Adoption and Authentication of the Text)
หลังจากร่างสนธิสัญญาเสร็จสิ้น ผู้แทนจะ ลงนามรับรอง เพื่อยืนยันว่าร่างนั้นถูกต้องและเป็นฉบับสุดท้าย
- นัยยะของการลงนามรับรอง: การลงนามในขั้นตอนนี้เป็นการยืนยันความถูกต้องของเนื้อหาเท่านั้น ยังไม่ถือว่ามีผลผูกพันทางกฎหมาย ทันที
- ผลทางกฎหมายของการลงนามรับรอง: รัฐที่ลงนามมีหน้าที่งดเว้นการกระทำที่จะขัดแย้งกับวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของสนธิสัญญา (ตามมาตรา 18 ของอนุสัญญาเวียนนาฯ) จนกว่าจะตัดสินใจว่าจะไม่เป็นภาคี
3. การแสดงเจตนาเข้าผูกพันในสนธิสัญญา (Expression of Consent to Be Bound)
นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นการแสดงเจตนาอย่างเป็นทางการของรัฐว่าจะยอมรับข้อผูกพันตามสนธิสัญญา
- นัยยะทางกฎหมายของการแสดงเจตนาเข้าผูกพันในสนธิสัญญา: เมื่อรัฐแสดงเจตนาผูกพันแล้ว สนธิสัญญาก็จะมีผลบังคับใช้กับรัฐนั้น ทำให้เกิดสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย
- การแสดงเจตนาฝ่ายเดียวของรัฐ / การใช้ดุลยพินิจของรัฐ: แต่ละรัฐมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจว่าจะผูกพันหรือไม่ผูกพันกับสนธิสัญญาใดๆ โดยพิจารณาจากผลประโยชน์และกฎหมายภายในของตนเอง
- รูปแบบของการแสดงเจตนาเข้าผูกพันในสนธิสัญญา: มีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับที่สนธิสัญญากำหนด:
- การลงนามและการแลกเปลี่ยนจดหมายหรือบันทึก (Signature and Exchange of Instruments Constituting a Treaty): บางสนธิสัญญาอาจกำหนดให้การลงนามมีผลผูกพันทันที โดยเฉพาะสนธิสัญญาสองฝ่ายที่มีความสำคัญน้อย หรือเมื่อมีการแลกเปลี่ยนเอกสารที่เป็นข้อตกลงกัน
- การให้สัตยาบัน (Ratification): เป็นการที่หน่วยงานภายในของรัฐ (เช่น รัฐสภา หรือประมุขของรัฐ) ให้การรับรองและอนุมัติสนธิสัญญาที่ผู้แทนของตนได้ลงนามไปแล้ว กระบวนการนี้มักใช้กับสนธิสัญญาสำคัญๆ เพื่อให้รัฐมีเวลาพิจารณาผลกระทบ
- การภาคยานุวัติ (Accession): เป็นการที่รัฐที่ไม่ได้ร่วมเจรจาและลงนามในสนธิสัญญาตั้งแต่แรก ตัดสินใจเข้าร่วมเป็นภาคีในภายหลัง โดยต้องได้รับเชิญหรือมีสิทธิที่จะเข้าร่วมตามข้อกำหนดของสนธิสัญญานั้น
- การแจ้งการสืบสิทธิในสนธิสัญญา (Notification of Succession): เกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสถานะของรัฐ เช่น การแยกตัวหรือการรวมตัวของประเทศ รัฐที่เกิดใหม่หรือเปลี่ยนแปลงสถานะอาจแจ้งความประสงค์ที่จะสืบทอดสิทธิและพันธกรณีตามสนธิสัญญาเดิม
กรณีศึกษา สนธิสัญญา กับบ่อเกิดกฎหมายระหว่างประเทศ
อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (United Nations Convention on the Law of the Sea, UNCLOS)
อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 หรือที่รู้จักกันในชื่อย่อว่า UNCLOS เป็นหนึ่งในสนธิสัญญาหลายฝ่าย (Multilateral Treaty) ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์กฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ “สนธิสัญญาที่ก่อให้เกิดกฎหมาย” (Law-making Treaty)
เรื่องราวความเป็นมาและสิ่งที่ UNCLOS ครอบคลุม
ก่อนหน้า UNCLOS โลกเราไม่มีกฎหมายระหว่างประเทศที่ครอบคลุมและเป็นระบบเกี่ยวกับการใช้ทะเลและมหาสมุทร แต่ละประเทศต่างอ้างสิทธิ์และตีความกฎเกณฑ์ต่างๆ กันไป ทำให้เกิดความขัดแย้งและไม่มีความชัดเจนในการใช้ทรัพยากรทางทะเล
UNCLOS เกิดจากการเจรจาที่กินเวลานานเกือบ 10 ปี (ค.ศ. 1973-1982) โดยมีประเทศต่างๆ ทั่วโลกเข้าร่วมจำนวนมาก อนุสัญญานี้ได้รวบรวมและพัฒนาหลักกฎหมายทะเลที่มีอยู่เดิม พร้อมทั้งสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อจัดการกับประเด็นสำคัญต่างๆ เช่น
- ทะเลอาณาเขต (Territorial Sea): กำหนดให้แต่ละประเทศมีอำนาจอธิปไตยเหนือทะเลที่ขยายออกไป 12 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง
- เขตต่อเนื่อง (Contiguous Zone): กำหนดเขตเพิ่มเติมอีก 12 ไมล์ทะเล (รวมเป็น 24 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง) ที่รัฐชายฝั่งมีสิทธิ์ควบคุมเพื่อป้องกันการละเมิดกฎหมายศุลกากร, การคลัง, คนเข้าเมือง หรือสุขาภิบาล
- เขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Exclusive Economic Zone – EEZ): เป็นแนวคิดใหม่ที่ UNCLOS บัญญัติขึ้น กำหนดให้รัฐชายฝั่งมีสิทธิ์พิเศษในการสำรวจและแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ในทะเลที่ขยายออกไป 200 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง
- ไหล่ทวีป (Continental Shelf): กำหนดสิทธิ์ของรัฐชายฝั่งในการสำรวจและแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรที่อยู่ใต้พื้นดินใต้ทะเลที่ขยายออกไปจากชายฝั่ง
- ทะเลหลวง (High Seas): กำหนดให้ทะเลที่อยู่นอกเขตอำนาจของประเทศใดๆ เป็นของมนุษยชาติร่วมกัน และเป็นพื้นที่ที่ทุกประเทศมีเสรีภาพในการเดินเรือ บินผ่าน และทำการวิจัย
- องค์กรระหว่างประเทศ: จัดตั้งกลไกและองค์กรต่างๆ เช่น ศาลระหว่างประเทศว่าด้วยกฎหมายทะเล (International Tribunal for the Law of the Sea – ITLOS) เพื่อแก้ไขข้อพิพาท
UNCLOS มีผลบังคับใช้ในปี ค.ศ. 1994 และปัจจุบันมีประเทศภาคีมากกว่า 160 ประเทศ
บทเรียนจากกรณีศึกษา UNCLOS:
- อิทธิพลต่อกฎหมายภายในประเทศ: หลักการหลายอย่างใน UNCLOS โดยเฉพาะแนวคิดเรื่องเขตเศรษฐกิจจำเพาะ ได้ถูกนำไปบัญญัติเป็นกฎหมายภายในของประเทศชายฝั่งจำนวนมาก เพื่อให้สิทธิ์และหน้าที่ที่กำหนดโดยอนุสัญญาเกิดผลในทางปฏิบัติ
- สนธิสัญญาคือ “ผู้สร้างกฎหมาย” ที่เป็นระบบ: UNCLOS แสดงให้เห็นว่าสนธิสัญญาหลายฝ่ายสามารถรวบรวมกฎเกณฑ์ที่กระจัดกระจาย หรือสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ขึ้นมาเป็นกฎหมายสากลที่มีผลผูกพัน และถูกยอมรับในวงกว้างได้อย่างไร มันเปลี่ยนจารีตประเพณีและแนวปฏิบัติเดิมๆ ให้กลายเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจน
- ความจำเป็นของกฎหมายที่ครอบคลุมและชัดเจน: ก่อน UNCLOS การใช้ทะเลขาดความชัดเจน นำไปสู่ความขัดแย้ง การมีสนธิสัญญาที่ครอบคลุมทุกแง่มุมของการใช้ทะเลช่วยลดข้อพิพาทและสร้างเสถียรภาพในการบริหารจัดการทรัพยากร
- สะท้อนเจตจำนงร่วมของประชาคมโลก: การที่ประเทศจำนวนมากรวมตัวกันเจรจาและให้สัตยาบัน UNCLOS แสดงให้เห็นถึงเจตจำนงร่วมกันของประชาคมระหว่างประเทศที่ต้องการสร้างระเบียบและกฎเกณฑ์ในการใช้พื้นที่ที่สำคัญอย่างมหาสมุทร
- สนธิสัญญาสามารถสร้างกลไกบังคับใช้ได้: UNCLOS ไม่เพียงแต่สร้างกฎเกณฑ์ แต่ยังจัดตั้งสถาบันและกลไกในการแก้ไขข้อพิพาท (เช่น ITLOS) ซึ่งเสริมความแข็งแกร่งในการบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ
แหล่งอ้างอิงทางวิชาการเพิ่มเติม
- ธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (Statute of the International Court of Justice) Statute of the International Court of Justice
- อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969 (Vienna Convention on the Law of Treaties, 1969) Vienna Convention on the Law of Treaties (1969)