ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2024 | การเลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2024 เป็นเหตุการณ์ที่มีผลกระทบทั่วโลก ไม่เพียงแต่สหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศอื่น ๆ ที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้ากับสหรัฐฯ ด้วย การดีเบตระหว่างผู้สมัครสองคนคือ โดนัลด์ ทรัมป์ และโจ ไบเดน จึงเป็นที่สนใจของผู้คนทั่วโลก โดยผมมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีแนวโน้มที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง นี่ไม่ใช่เพราะโจ ไบเดน ไม่ดีหรือไม่มีความสามารถ แต่เพราะสภาพการเมืองและเศรษฐกิจในปัจจุบันทำให้คนส่วนใหญ่ต้องการผู้นำที่มีความเด็ดขาดและกระฉับกระเฉงมากกว่า
การเปรียบเทียบเศรษฐกิจระหว่างทรัมป์และไบเดน เป็น ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
เศรษฐกิจในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์
ในช่วงที่โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการเติบโตที่ชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงปี 2017-2019 ทรัมป์ได้ดำเนินนโยบายลดภาษีทั้งสำหรับบุคคลและธุรกิจ ซึ่งเป็นการกระตุ้นการลงทุนและการบริโภคในประเทศ นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้เจรจาการค้ากับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะกับจีน ซึ่งมีผลต่อการสร้างสมดุลการค้าและส่งเสริมการผลิตในประเทศ
เศรษฐกิจในยุคของโจ ไบเดน
โจ ไบเดน เข้ารับตำแหน่งในช่วงที่สหรัฐฯ กำลังฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด-19 ไบเดนเน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประชาชนและธุรกิจ รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน สะพาน และเทคโนโลยี เพื่อสร้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ไบเดนได้เสนอการเพิ่มภาษีสำหรับผู้มีรายได้สูงเพื่อสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลและลดการขาดดุลทางการคลัง ซึ่งมีผลกระทบต่อการลงทุนและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ความพึงพอใจของประชาชนสหรัฐฯ
ในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์
ความคิดเห็นของประชาชนมีการแบ่งแยกชัดเจน มีผู้สนับสนุนที่ชื่นชอบในความเด็ดขาดและนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ แต่ก็มีผู้คัดค้านที่ไม่พอใจในแนวทางการปฏิบัติงานและการแสดงออกที่ไม่เหมาะสมของทรัมป์
ในยุคของโจ ไบเดน
โจ ไบเดน ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มประชาชนที่เน้นคุณธรรมและการร่วมมือ แต่ก็มีผู้ไม่พอใจในความสามารถในการบริหารเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ไม่เข้มแข็งพอ
ผลกระทบต่อภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะไทย
ในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์
นโยบายการค้ากับจีนของทรัมป์เน้นการเจรจาอย่างเข้มงวด ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงไทย ทรัมป์ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างพันธมิตรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมากนัก ทำให้ความสัมพันธ์กับบางประเทศในภูมิภาคไม่แน่นแฟ้น
ในยุคของโจ ไบเดน
ไบเดนให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับไทย นอกจากนี้ ไบเดนเน้นการดำเนินนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผลต่อการลงทุนและการค้ากับประเทศในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงไทยที่ต้องปรับตัวตามมาตรฐานใหม่
วิเคราะห์ข้อมูลสำคัญจากการดีเบตระหว่างทรัมป์และไบเดน
ภาษี
ทรัมป์กล่าวหาไบเดนว่าต้องการเพิ่มภาษีสี่เท่าและต้องการให้มาตรการลดภาษีของทรัมป์หมดอายุ แต่ข้อเท็จจริงคือ งบประมาณล่าสุดของไบเดนไม่มีการอ้างถึงการเพิ่มภาษีสี่เท่าสำหรับครัวเรือนทั่วไป งบประมาณนี้เสนอการลดภาษีสำหรับครอบครัวที่มีรายได้น้อยกว่า $400,000 ต่อปี พร้อมกับการเพิ่มภาษีสำหรับผู้มีรายได้สูง
การข้ามพรมแดนผิดกฎหมาย
ไบเดนกล่าวว่าการข้ามพรมแดนผิดกฎหมายลดลง 40% ตั้งแต่ไบเดนออกกฎระเบียบใหม่ในเดือนมิถุนายน การข้ามพรมแดนผิดกฎหมายลดลงเฉลี่ย 2,000 รายต่อวัน ลดลงจาก 3,800 รายต่อวันในเดือนพฤษภาคม
การทำแท้ง
ทรัมป์กล่าวว่าไบเดนสนับสนุนการทำแท้งในช่วงเก้าเดือนและหลังคลอด แต่ข้อเท็จจริงคือ กรอบการทำแท้งของ Roe v Wade ระบุว่าการทำแท้งในช่วงไตรมาสที่สามอาจถูกควบคุมหรือห้ามเพื่อปกป้องชีวิตหรือสุขภาพของผู้หญิง น้อยกว่า 1% ของการทำแท้งในสหรัฐเกิดขึ้นหลังจาก 21 สัปดาห์ และ 93.5% ของการทำแท้งเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรก
การเสียชีวิตของทหารสหรัฐฯ
ไบเดนกล่าวว่าเขาเป็นประธานาธิบดีเพียงคนเดียวในทศวรรษที่ไม่มีทหารสหรัฐฯ เสียชีวิตในที่ใด ๆ แต่ข้อเท็จจริงคือ มีทหารสหรัฐฯ สามคนเสียชีวิตจากการโจมตีด้วยโดรนในจอร์แดนในเดือนมกราคมปีนี้ และมีทหาร 13 คนเสียชีวิตจากการโจมตีที่สนามบินคาบูลในปี 2021 ระหว่างการถอนกำลังจากอัฟกานิสถาน
การขาดดุล
ทรัมป์กล่าวว่าไบเดนมีการขาดดุลสูงสุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ ข้อเท็จจริงคือ ขาดดุลสูงสุดเกิดขึ้นในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งที่ $3.13 ล้านล้าน ในปี 2023 ขาดดุลลดลงเหลือ $1.7 ล้านล้าน แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น $1.9 ล้านล้านในปี 2024
การว่างงานของคนผิวดำ
ไบเดนกล่าวว่าการว่างงานของคนผิวดำอยู่ในระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์ ในเดือนเมษายน 2023 การว่างงานของคนผิวดำลดลงเหลือ 4.8% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในขณะนั้น แต่กลับเพิ่มขึ้นเป็น 6.1% ในเดือนพฤษภาคม 2023
ผลการสำรวจความคิดเห็นหลังการดีเบต
การสำรวจความคิดเห็นของ CNN ที่ทำโดย SSRS พบว่าผู้ลงทะเบียนเลือกตั้งที่ชมการดีเบตส่วนใหญ่เห็นว่าทรัมป์มีผลงานดีกว่าไบเดน โดย 67% ต่อ 33% ของผู้ชมกล่าวว่าทรัมป์ทำได้ดีกว่าในการดีเบตนี้ ผู้ชมที่เป็นรีพับลิกันเกือบทั้งหมด (96%) มั่นใจว่าทรัมป์ทำได้ดีกว่า ในขณะที่ผู้ชมที่เป็นเดโมแครตเพียง 69% เห็นว่าไบเดนเป็นผู้ชนะในคืนนี้
บทสรุป
การวิเคราะห์นี้แสดงให้เห็นว่าแม้ไบเดนจะมีความสามารถและมีอุดมการณ์ที่ดี แต่ปัจจัยหลาย ๆ อย่างทำให้ทรัมป์มีโอกาสกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจและการเจรจาต่อรองกับประเทศอื่น ๆ ที่ประชาชนเชื่อว่าทรัมป์ดูมีความเชี่ยวชาญมากกว่า นอกจากนี้ ความเด็ดขาดและความกระฉับกระเฉงของทรัมป์ก็เป็นสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการในสภาพการเมืองและเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในปัจจุบัน