การแก้รัฐธรรมนูญ 2560 | รัฐธรรมนูญไทยถูกออกแบบให้แก้ไขได้ยาก เนื่องจากเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ หลายประเทศทั่วโลกต่างใช้หลักการนี้เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางกฎหมาย แต่รัฐธรรมนูญ 2560 ของไทยมีลักษณะพิเศษที่ต่างออกไป นั่นคือ ไม่เพียงแต่แก้ไขยาก แต่ที่มาของรัฐธรรมนูญเองก็ถูกตั้งคำถามถึงความชอบธรรมมาโดยตลอด
- ประชาธิปไตยไทยดีกว่านี้ได้อย่างไร?
- fallacy ทุตรรกบท
- รัฐ – การเกิดของรัฐ
- การมีส่วนร่วมของประชาชน กับการประชุมครั้งสุดท้ายในรัฐสภา
การแก้รัฐธรรมนูญ 2560 ทำได้หรือไม่?
หากมองตามตัวบทกฎหมาย
มาตรา ๒๕๖ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๕๕ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ให้กระทำได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้
(๑) ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรี หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาหรือจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
(๒) ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องเสนอเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมต่อรัฐสภาและให้รัฐสภาพิจารณาเป็นสามวาระ
(๓) การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการ ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผยและต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการแก้ไขเพิ่มเติมนั้น ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ซึ่งในจำนวนนี้ต้องมีสมาชิกวุฒิสภาเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา
(๔) การพิจารณาในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา โดยการออกเสียงในวาระที่สองนี้ ให้ถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ แต่ในกรณีที่เป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่ประชาชนเป็นผู้เสนอต้องเปิดโอกาสให้ผู้แทนของประชาชนที่เข้าชื่อกันได้แสดงความคิดเห็นด้วย
(๕) เมื่อการพิจารณาวาระที่สองเสร็จสิ้นแล้ว ให้รอไว้สิบห้าวัน เมื่อพ้นกำหนดนี้แล้วให้รัฐสภาพิจารณาในวาระที่สามต่อไป
(๖) การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สามขั้นสุดท้าย ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผยและต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการที่จะให้ออกใช้เป็นรัฐธรรมนูญมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา โดยในจำนวนนี้ต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคการเมืองที่สมาชิกมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของทุกพรรคการเมืองดังกล่าวรวมกัน และมีสมาชิกวุฒิสภาเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา
(๗) เมื่อมีการลงมติเห็นชอบตาม (๖) แล้ว ให้รอไว้สิบห้าวัน แล้วจึงนำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย และให้นำความในมาตรา ๘๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
(๘) ในกรณีร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด ๑ บททั่วไป หมวด ๒ พระมหากษัตริย์ หรือหมวด ๑๕ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่หรืออำนาจของศาล หรือองค์กรอิสระ หรือเรื่องที่ทำให้ศาลหรือองค์กรอิสระไม่อาจปฏิบัติตามหน้าที่หรืออำนาจได้ ก่อนดำเนินการตาม (๗) ให้จัดให้มีการออกเสียงประชามติตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ถ้าผลการออกเสียงประชามติเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม จึงให้ดำเนินการตาม (๗) ต่อไป
(๙) ก่อนนายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยตาม (๗) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกทั้งสองสภารวมกัน มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา หรือของทั้งสองสภารวมกัน แล้วแต่กรณี มีสิทธิเข้าชื่อกันเสนอความเห็นต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกหรือประธานรัฐสภา แล้วแต่กรณี ว่าร่างรัฐธรรมนูญตาม (๗) ขัดต่อมาตรา ๒๕๕ หรือมีลักษณะตาม (๘) และให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับเรื่องดังกล่าวส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง ในระหว่างการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีจะนำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยมิได้
รัฐธรรมนูญ 2560 สามารถแก้ไขได้ โดยกระบวนการที่กำหนดไว้ในมาตรา 256 ระบุว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องเริ่มจากการเสนอโดยกลุ่มบุคคลที่มีคุณสมบัติครบถ้วน จากนั้นเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในรัฐสภา โดยต้องผ่านการลงมติสามวาระ และหากเป็นการแก้ไขหมวดสำคัญ เช่น หมวด 1 (บททั่วไป) หมวด 2 (พระมหากษัตริย์) หรือหมวด 15 (การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ) จะต้องทำประชามติให้ประชาชนเห็นชอบก่อน
ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยชี้ว่ารัฐสภามีหน้าที่และอำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติม แต่ต้องทำประชามติตามลำดับ คือ เมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้วจึงให้ประชาชนลงประชามติอีกครั้ง ไม่จำเป็นต้องทำประชามติซ้ำหลายรอบ อย่างไรก็ตาม แม้กระบวนการแก้ไขจะถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน แต่ในความเป็นจริงแล้ว การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้โดยอาศัยแค่กระบวนการรัฐสภานั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย
ปัญหาของรัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ใช่แค่ตัวบทกฎหมาย แต่เป็นที่มา
หนึ่งในปัญหาหลักของรัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ใช่เพียงแค่เนื้อหาหรือบทบัญญัติบางประการ แต่เป็นกระบวนการที่มาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งไม่ได้สะท้อนหลักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
รัฐธรรมนูญ 2560 เกิดขึ้นจากกระบวนการรัฐประหารในปี 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) โดยไม่มีการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการร่าง แม้รัฐธรรมนูญจะผ่านประชามติในปี 2559 แต่การทำประชามตินั้นเกิดขึ้นภายใต้บรรยากาศที่จำกัดเสรีภาพทางการเมืองและสื่อมวลชน นักวิชาการและกลุ่มการเมืองที่วิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญถูกดำเนินคดีและถูกจำกัดการแสดงความคิดเห็น ทำให้กระบวนการลงประชามติครั้งนั้นไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นไปโดยเสรีและเป็นธรรม
ล่าสุดการแก้ไขรัฐธรรมนูญยังถูกต่อต้านจากกลุ่มอำนาจเก่าที่ไม่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่อาจกระทบต่อสถานะของพวกเขา
การเดินเกมในรัฐสภาอย่างเดียวไม่พอ ต้องสร้างแรงกดดันจากภาคประชาชน
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ให้ประสบความสำเร็จ ไม่สามารถอาศัยแค่การเคลื่อนไหวในรัฐสภาเพียงอย่างเดียวได้ เพราะระบบรัฐสภาไทยในปัจจุบันยังถูกครอบงำโดยกลุ่มอำนาจที่ได้รับประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ดังนั้น หากต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง จำเป็นต้องสร้างกระแสความเห็นพ้องต้องกันในสังคมให้มากพอ เหมือนกับกรณีของ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ที่ได้รับการผลักดันจากหลายภาคส่วนจนในที่สุดสามารถผ่านความเห็นชอบในรัฐสภาได้
หนึ่งในแนวทางที่สามารถทำได้คือ การรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหาของรัฐธรรมนูญ 2560 ผ่านสื่อมวลชน โซเชียลมีเดีย และเวทีสาธารณะ เพื่อให้เกิดแรงกดดันทางสังคมต่อฝ่ายนิติบัญญัติ นอกจากนี้ นักวิชาการและภาคประชาชนสามารถรวมตัวกันเพื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน โดยอาศัยช่องทางที่รัฐธรรมนูญเปิดไว้ให้ประชาชนสามารถเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายได้
มองอนาคต การแก้รัฐธรรมนูญ ไทยปี 2560
แม้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในสมัยประชุมสภานี้ แต่การต่อสู้ทางความคิดยังต้องดำเนินต่อไป หากเราต้องการให้ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง การต่อสู้ครั้งนี้ต้องอาศัยทั้งแรงผลักดันจากนักการเมืองที่ยึดมั่นในประชาธิปไตย และแรงกดดันจากประชาชนที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง เมื่อนั้น รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่สะท้อนเจตจำนงของประชาชนจะเกิดขึ้นได้ และประชาธิปไตยไทยจะสามารถเบ่งบานได้อีกครั้ง