Fallacy ทุตรรกบท คือการที่ การให้เหตุผล เราเพี้ยนไปจากหลักการ ไม่ว่าจะเป็นการหยิบเรื่องอื่นมาใส่ในเรื่อง หรือเรื่องที่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกัน หรือบิดเบือน
การจำแนกประเภทของ “ทุตรรกบท” เป็นหลายประเภท แต่อาจแบ่งได้
ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ด้วยกัน คือ
- การให้เหตุผลวิบัติเชิงสาระ
- การให้เหตุผลวิบัติเชิงวาจา
ทุตรรกบท fallacy
เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่นักนิติศาสตร์ต้องทำการศึกษาเป็นสิ่งแรก ๆ ของการเรียนกฎหมาย ต้องทำความเข้าใจถึงการให้เหตุผลที่วิบัติหรือบิดเบือนการให้เหตุผลนั้น
ซึ่งปัจจุบันเราเห็นการใช้ทุตรรกบทอย่างมากในสังคมไทย โดยเฉพาะในการตอบโต้ซึ่งกันและกันทางการเมือง
ซึ่งการที่เราไม่ใช้ Fallacy นั้นจะทำให้คำตอบเราตรงกับสิ่งที่คำถามมีมานั้น และยังทำให้ผู้ฟังเข้าใจสิ่งที่เรากำลังสื่อสารอีกด้วย ต้องเลี่ยงอคติหรือ Bias
ซึ่ง ทุตรรกบท จะมี 13 แบบจาก อลิสโตเติล
Fallacy of Aristotle’s มี 13 ข้อ
- การละทิ้งข้อยกเว้น (A dicto simpliciter ad dictum secundum quid)
- การสรุปเหมารวม (A dicto secundum quid ad dictum simpliciter )
- การสรุปนอกประเด็น (Ignoratio elenchi)
- การยืนยันผลและการปฏิเสธเหตุ (affirmans consequentis – antecedens)
- การทวนคำถาม (Petitio principii)
- การยกเหตุผลผิด (Non sequitur)
- การตั้งประเด็นซ้อน (Plurium interrogationum)
- การทับถมจุดอ่อน (paleae hominis)
- ความเคลือบคลุม
- การตีความหลายนัย
- การลงน้ำหนัก
- การใช้คำฟุ่มเฟือย
การละทิ้งข้อยกเว้น
(A dicto simpliciter ad dictum secundum quid)
การวางนัยทั่วไป โดยไม่คำนึงว่ามีข้อยกเว้นในเรื่องดังกล่าวอยู่ด้วย
ตัวอย่าง
- “นิรโทษกรรม” ในกฎหมายละเมิด มาตรา ๔๔๙ – มาตรา ๔๕๒ ปพพ.
- “เหตุยกเว้นความรับผิด” และ “เหตุยกเว้นโทษ” ในกฎหมายอาญา เช่น…
- กระทำไปในขณะที่ไม่รู้ผิดชอบ (มาตรา ๖๕ และมาตรา ๖๖)
- กระทำความผิดด้วยความจำเป็น (มาตรา ๖๗)
- กระทำความผิดเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองหรือของผู้อื่น (มาตรา ๖๘)
- กระทำความผิดตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน (มาตรา ๗๐)
ซึ่งในข้อกฎหมายดังกล่าวที่ยกมานั้นจะมีข้อยกเว้นมาด้วย แต่ไม่ได้หยิบเอาข้อยกเว้นนั้นมาใช้
การสรุปเหมารวม
(A dicto secundum quid ad dictum simpliciter) การนำกรณีเฉพาะต่าง ๆ รวมเข้าเป็นกรณีทั่วไป
การสรุปนอกประเด็น
(Ignoratio elenchi) การหันเหความสนใจในประเด็นที่โต้เถียง แทนที่จะจัดการกับปัญหาโดยตรง
เหตุแห่งการสรุปนอกประเด็นนั้นอาจจะเกิดขึ้นได้จากบริบท ๗ ประการด้วยกัน คือ
- การโจมตีตัวบุคคล (argumentum ad hominem)
- การอ้างคนหมู่มาก (argumentum ad populum)
- การอ้างอำนาจ (argumentum ad baculum) หรือการอ้างความภักดี (argumentum ad fides)
- การอ้างปฐมาจารย์(argumentum ad verecundiam)
- การขอความเห็นใจ (argumentum ad misericordiam)
- การอ้างความไม่รู้ (argumentum ad ignorantiam)
- เหตุผลสืบทอดที่วิบัติ (geneticae fallacia)
การยืนยันผลและการปฏิเสธเหตุ
(affirmans consequentis – antecedens)
การสรุปสมมุติฐานโดยปราศจากเงื่อนไขที่สำคัญหรือเพียงพอมารองรับ ซึ่งอาจจะ เกิดจากการเข้าใจผิดคิดว่ามีเพียงข้อตั้งข้อเดียวเท่านั้นที่จะใช้อธิบายเพื่อไปสู่ข้อสรุป
ตัวอย่าง
- นักการเมืองหลายคนเป็นคนขี้โกง สนช. ไม่ใช่นักการเมือง สนช.จึงไม่ขี้โกง
- คนรวยไม่ขี้โกง นักการเมืองคนนี้รวย ดังนั้นนัการเมืองคนนี้จึงไม่ขี้โกง
- หมามันต้องเห่า แต่ตัวนี้ไม่เห่า มันจึงไม่ใช่หมา
- ถ้าฝนกำลังตก ท้องฟ้าจะมีเมฆมาก ขณะนี้ฝนไม่ตก ดังนั้นท้องฟ้าจึงไม่มีเมฆ
- กปปส. บอกว่าต้องปฏิรูปประเทศ เธอพูดเรื่องเดียวกันแสดงว่าเธอต้องเป็น กปปส.
- เสื้อแดงเรียกร้องประชาธิปไตย แกเรียกร้องประชาธิปไตยแสดงว่าแกเป็นเสื้อแดง
การทวนคำถาม
(Petitio principii)
การสรุปโดยใช้ใจความของสมมุติฐานมาเป็นคำตอบ เป็นการให้เหตุผลวนเวียน คือ ข้อสรุปสองอย่างหรือมากกว่าที่ถูกใช้เป็นสมมติฐานรองรับซึ่งกันและกัน แต่ถ้าเกิดข้อใดข้อ หนึ่งไม่เป็นจริง ข้อสรุปทั้งหมดจะกลายเป็นเท็จไปด้วย
ตัวอย่าง
- พระเจ้ามีจริง ก็เพราะในพระคัมภีร์เขียนไว้ ดังนั้นพระเจ้าต้องมีจริง เพราะพระเจ้าเป็นผู้บัญญัติพระคัมภีร์
- ถ้าผู้ประท้วงไม่ทำอะไรผิดกฎหมาย กฎหมายก็ไม่ห้ามทำหรอก
- ทำไมเราต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ เพราะการกตัญญูเป็นคุณธรรมที่ลูกต้องมี
การยกเหตุผลผิด
(Non sequitur)
การสรุปข้อถกเถียงจากข้อตั้ง (premise) แต่ข้อสรุปไม่เชื่อมโยงอย่างเป็นเหตุ เป็นผลกับข้อสนับสนุน ซึ่งอาจเกิดจากการสรุปโดยไม่ใช่เหตุผลหรือใช้เหตุผลในทางที่ผิดก็ได้ นอกจากนี้แล้วการใช้เหตุผลแบบนี้อาจเกิดการที่ผู้ใช้ตรรกะตีกรอบให้โดย กำหนดตัวเลือกเพียงสองทาง ทางเลือกหนึ่งเป็นทางเลือกที่ดูแย่ที่สุด ส่วนอีกทางเลือก
หนึ่งเป็นทางเลือกที่ดูดีที่สุด เพื่อโน้มน้าวให้ผู้รับสารเลือกทางเลือกที่ตัวเองมี “ธงคำตอบ” ในใจ
ตัวอย่าง
- คนเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หลินฮุ่ยเลี้ยงลูกด้วยนม ดังนั้นหลินฮุ่ยเป็นคน
- จะเอาเผด็จการดี ๆ หรือจะเอาประชาธิปไตยเลว ๆ
การตั้งประเด็นซ้อน
(Plurium interrogationum)
การตั้งประเด็นคำถามหลายอย่างลงในคำถามเดียว เพื่อลวงให้ผู้ตอบตอบอย่าง ไม่ระมัดระวัง
ตัวอย่าง
- เธอเลิกเจ้าชู้หรือยัง
- เธอเลิกลอกข้อสอบหรอยัง
การทับถมจุดอ่อน
(paleae hominis)
การบิดเบือนข้อถกเถียงของผู้อื่นเพื่อโจมตีผู้นั้น ทำให้ดูประหนึ่งว่าตนเองมีเหตุมีผลมากกว่า ทั้งที่ข้อเถียงของตนนั้นไม่ใช่ข้อเถียงในสิ่งที่คู่สนทนาอ้างขึ้นแม้แต่น้อย ซึ่งอาจเรียกการใช้ตรรกะแบบนี้ได้ว่าเป็น “หุ่นฟาง” ที่ตนตั้งขึ้นมายิงเองเท่านั้น
ตัวอย่าง
- หากประชาธิปไตยคือความเท่าเทียม ผู้ที่ออกมาเดินขบวนเรียกร้องจะผิดจะถูกก็ต้องว่ากัน
ไป หากจะปล่อยตัวโดยไม่มีเงื่อนไข มันจะไปเท่าเทียมกับคนอื่นได้อย่างไร - บุคคลที่ถูกจับกุมไม่ได้เกิดจากความเห็นต่าง แต่เกิดจากการขัดคำสั่งรัฐบาล
ความเคลือบคลุม
(equivocation)
การใช้คำเดียวกันที่สื่อถึงความหมายได้มากกว่านัยเดียว หรือใช้คำๆ เดียวเป็น ทั้งข้อตั้ง (premise) และข้อสรุป (conclusion) แต่ใช้ในลักษณะคนละความหมายกัน
ตัวอย่าง
- เขาเป็นคนที่เขียนงานวิชาการเก่ง แต่งานที่เขาเขียนนั้นล้วนแต่ลอกงานของคนอื่นมา จนหลายคนเข้าใจว่าเป็นงานที่เขาสร้างสรรค์ขึ้น แต่เมื่อมีคนรู้มากขึ้นเขาจึงออกมาแก้ตัวว่า “คนทำผิด คือคนที่ทำ ส่วนคนที่ไม่ได้ทำผิดก็คือคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย”
- เธอศรัทธาในตัวเขามาก ๆ เมื่อศรัทธาแปลว่าเชื่อโดยไม่ใช่เหตุผล เธอจึงเป็นคนไม่มีเหตุผล
การตีความหลายนัย
(amphibology)
ประโยคที่มีโครงสร้างไวยกรณ์กำกวมย่อมตีความได้หลายนัย
ตัวอย่าง
- เด็กไม่ควรออกจากบ้านหลังสามทุ่มเพราะอันตราย