กฎหมายระหว่างประเทศเรื่องผู้ลี้ภัยกรณี อุยกูร์

อุยกูร์ กับกฎหมายระหว่างประเทศ | ประเทศไทยส่งชาว อุยกูร์ 40 คนกลับไปยังจีน ท่ามกลางเสียงประณามจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป การตัดสินใจนี้ไม่เพียงจุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในเวทีโลก แต่ยังนำไปสู่มาตรการจำกัดวีซ่าในสหรัฐฯ ต่อเจ้าหน้าที่ไทยที่เกี่ยวข้อง ย้อนไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2558 ไทยเคยส่งชาวอุยกูร์ 109 คนกลับจีน
อุยกูร์ กับกฎหมายระหว่างประเทศ
อุยกูร์ กับกฎหมายระหว่างประเทศ

อุยกูร์ กับกฎหมายระหว่างประเทศ | ประเทศไทยส่งชาว อุยกูร์ 40 คนกลับไปยังจีน ท่ามกลางเสียงประณามจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป การตัดสินใจนี้ไม่เพียงจุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในเวทีโลก แต่ยังนำไปสู่มาตรการจำกัดวีซ่าในสหรัฐฯ ต่อเจ้าหน้าที่ไทยที่เกี่ยวข้อง ย้อนไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2558 ไทยเคยส่งชาวอุยกูร์ 109 คนกลับจีนในลักษณะที่โหดร้าย และเหตุการณ์นั้นยังคงเป็นบาดแผลที่โลกไม่ลืม วันนี้ รัฐบาลไทยยืนยันว่าการกระทำล่าสุดสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ แต่คำถามที่ตามมาคือ ไทยควรมีจุดยืนอย่างไรในฐานะชาติที่มักอ้างความเป็นกลางและเคารพสิทธิมนุษยชน? บทความนี้จะพาไปสำรวจกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ผ่านบริบทของเหตุการณ์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจมิติของกฎหมายในสถานการณ์บ้านเมืองที่ซับซ้อน

ไทยไม่ผูกพันกับกฎหมายผู้ลี้ภัย: รากฐานของการตัดสินใจ

ผมเพิ่งเข้าใจว่า เหตุผลที่รัฐบาลบอกว่าการส่งชาวอุยกูร์กลับจีนเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศนั้น มีที่มาจากการที่ประเทศไทยไม่ได้ผูกพันกับกฎหมายระหว่างประเทศเรื่องผู้ลี้ภัยอย่างเป็นทางการ ประเทศไทยไม่ได้ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยสถานะของผู้ลี้ภัย ค.ศ. 1951 หรือพิธีสาร ค.ศ. 1967 ซึ่งเป็นกรอบกฎหมายหลักที่กำหนดสถานะและการคุ้มครองผู้ลี้ภัยทั่วโลก การไม่เข้าร่วมนี้ทำให้ไทยไม่มีพันธกรณีทางกฎหมายที่จะต้องปฏิบัติตามหลักการในอนุสัญญา เช่น การให้ที่พักพิงหรือการรับรองสถานะผู้ลี้ภัย

เหตุผลหนึ่งที่ไทยเลือกจะไม่รับกฎหมายนี้ อาจย้อนกลับไปที่จุดยืนทางประวัติศาสตร์ของเราในฐานะ “รัฐกันชน” (buffer state) ที่ต้องการรักษาความเป็นกลางระหว่างอิทธิพลของชาติมหาอำนาจทั้งตะวันตกและตะวันออก การรับกฎหมายผู้ลี้ภัยอาจทำให้ไทยต้องเผชิญแรงกดดันจากทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะในยุคที่โลกแบ่งขั้วอย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้ ไทยจึงมองว่าการไม่รับกฎหมายนี้เป็นการรักษาความยืดหยุ่นทางการเมือง แต่ผลที่ตามมาก็คือ ผู้ลี้ภัยอย่างชาว อุยกูร์ กลายเป็นเพียง “ผู้อพยพผิดกฎหมาย” ในสายตาของกฎหมายไทย ไม่ได้รับการคุ้มครองตามมาตรฐานสากล

หลักการไม่ส่งกลับ: กฎหมายที่ไทยควรเคารพ?

ถึงแม้ไทยจะไม่ลงนามในอนุสัญญา แต่หลักการ “ไม่ส่งกลับ” (non-refoulement) ซึ่งห้ามส่งผู้ลี้ภัยกลับไปยังประเทศที่อาจเผชิญอันตราย ถือเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ (customary international law) ที่ผูกมัดทุกชาติ ไม่ว่าจะลงนามในอนุสัญญาหรือไม่ ตามข้อมูลจาก UNHCR และงานวิชาการ เช่น The Principle of Non-Refoulement as a Norm of Customary International Law หลักการนี้ควรเป็นสิ่งที่ไทยเคารพ หากต้องการยืนยันจุดยืนด้านสิทธิมนุษยชน

แต่ในความเป็นจริง ไทยกลับละเมิดหลักการนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ย้อนไปในเดือนกรกฎาคม 2558 ไทยส่งชาวอุยกูร์ 109 คนกลับจีน โดยมีภาพน่าสะเทือนใจของพวกเขาถูกตำรวจจีนควบคุมตัวขึ้นเครื่องบินในลักษณะถูกคลุมหัวและสวมกุญแจมือ จนถึงวันนี้ ยังไม่มีใครทราบชะตากรรมของกลุ่มนั้น รัฐบาลทหารภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากประชาคมโลก โดยเฉพาะจากประเทศมุสลิม เช่น ตุรกีและซาอุดีอาระเบีย ที่มองว่านี่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง

ล่าสุด เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ไทยส่งชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีนอีกครั้ง รายงานจาก Reuters และ The Guardian ชี้ว่า การกระทำนี้เกิดขึ้นแม้มีคำเตือนว่าพวกเขาอาจถูกทรมานหรือประหัตประหาร ซึ่งนับเป็นการละเมิดหลักการไม่ส่งกลับในทางปฏิบัติ การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงจุดยืนของไทยที่เลือก “ไหวตามลม” มากกว่ายึดหลักการสากลและสิทธิมนุษยชน

สถานการณ์ปัจจุบัน: จาก 2558 สู่ 2568 และผลกระทบที่ตามมา

เหตุการณ์ส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีนเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2568 สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก สหรัฐอเมริกา โดย U.S. Secretary of State Marco Rubio ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 ประณามไทย “ในถ้อยคำที่รุนแรงที่สุด” (condemned in the strongest possible terms) ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ขณะที่สหภาพยุโรปออกมติในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2568 เรียกร้องให้ไทยหยุดการกระทำเช่นนี้ และขู่ใช้การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีเป็นเครื่องมือกดดัน

ที่รุนแรงกว่านั้น สหรัฐฯ ประกาศนโยบายจำกัดวีซ่าเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 ภายใต้มาตรา 212(a)(3)(C) ของ Immigration and Nationality Act ต่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยทั้งในอดีตและปัจจุบันที่มีส่วนรับผิดชอบหรือสมรู้ร่วมคิดในการส่งกลับครั้งนี้ โดยมาตรการนี้เริ่มบังคับใช้ทันที และอาจขยายไปถึงสมาชิกครอบครัวของผู้ที่ถูกคว่ำบาตรด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่ไทยเผชิญผลกระทบโดยตรงในระดับบุคคลจากนโยบายผู้ลี้ภัย

ถ้าอยากยืนกลางและยึดสิทธิมนุษยชน ไทยควรทำอย่างไร?

ผมมองว่า ถ้าไทยอยากยืนหยัดเป็นกลางและยึดหลักสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริงในเวทีโลก การส่งชาวอุยกูร์กลับจีนหรือส่งไปสหรัฐฯ ไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด ทางเลือกที่เหมาะสมกว่าคือการส่งต่อไปยัง “ประเทศที่สาม” (third country) ที่สามารถออกสถานะผู้ลี้ภัยได้ตามกฎหมายสากล หรือส่งไปยังประเทศที่เป็นกลาง (neutral state) อื่นๆ เช่น สวิตเซอร์แลนด์ หรือประเทศในกลุ่มอาเซียนที่มีนโยบายผู้ลี้ภัยชัดเจนกว่า เช่น อินโดนีเซียที่เริ่มมีพัฒนาการในด้านนี้

วิธีนี้ไม่เพียงแสดงถึงความเป็นกลาง แต่ยังสอดคล้องกับหลักการไม่ส่งกลับ และแสดงถึงจุดยืนของไทยในการเคารพสิทธิมนุษยชน โดยไม่ต้องรับภาระผูกพันตามอนุสัญญาที่ไทยไม่พร้อมรับ การทำเช่นนี้จะช่วยให้ไทยรักษาภาพลักษณ์ในเวทีโลก ลดแรงกดดันจากทั้งจีนและตะวันตก และป้องกันผลกระทบร้ายแรง เช่น เหตุระเบิดในอดีต หรือการคว่ำบาตรในปัจจุบัน หากไทยเลือกทางนี้ตั้งแต่แรก เหตุการณ์ในปี 2558 และ 2568 อาจไม่เกิดขึ้น

กฎหมายระหว่างประเทศกับอนาคตของไทย

การที่ไทยไม่รับอนุสัญญาผู้ลี้ภัยอาจเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยรักษาความเป็นกลางในอดีต แต่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ความเป็นกลางแบบ “ไหวตามลม” อาจไม่เพียงพออีกต่อไป หลักการไม่ส่งกลับที่เป็นกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศยังคงเป็นสิ่งที่ไทยควรยึดถือ เพื่อแสดงถึงความรับผิดชอบในฐานะสมาชิกของประชาคมโลกที่เคารพสิทธิมนุษยชน เหตุการณ์ในปี 2558 และ 2568 ที่ไทยเผชิญทั้งการประณาม ผลกระทบด้านความมั่นคง และการคว่ำบาตร เป็นเครื่องเตือนใจว่า การตัดสินใจที่ขาดสมดุลอาจนำมาซึ่งผลกระทบที่รุนแรง

ผ่านกรณีอุยกูร์และสถานการณ์ปัจจุบัน เราจะเห็นว่ากฎหมายระหว่างประเทศไม่ใช่แค่ข้อความในกระดาษ แต่เป็นเครื่องมือที่สะท้อนจุดยืนของชาติในโลกที่เต็มไปด้วยคลื่นลมแรง ไทยจะเลือกเป็นเรือที่ไหวไปตามกระแส หรือยืนหยัดด้วยหลักการสิทธิมนุษยชนที่ชัดเจน? คำตอบอยู่ที่การตัดสินใจของเราในวันนี้

แหล่งอ้างอิง:

Comments 1
ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Prev
กฎหมายภาษี เบื้องต้น นโยบายการเงิน นโยบายการคลัง
กฎหมายภาษี

กฎหมายภาษี เบื้องต้น นโยบายการเงิน นโยบายการคลัง

กฎหมายภาษี | ภาษีเป็นสิ่งที่ถ้ายังไม่ตายเราก็หนีไปจากมันไม่ได้

Next
อำนาจของนายจ้าง ตามกฎหมายแรงงาน
กฎหมายแรงงาน อำนาจของนายจ้าง Labor laws

อำนาจของนายจ้าง ตามกฎหมายแรงงาน

อำนาจของนายจ้าง ตามกฎหมายแรงงาน | กฎหมายแรงงานเป็นกฎหมายเอกชนกึ่งมหาชน

You May Also Like