กฎหมายระหว่างประเทศ 101: คดีเมือง

กฎหมายระหว่างประเทศคือ กฎกติการะหว่างประเทศ ที่คอยจัดระเบียบความสัมพันธ์ของ “รัฐ” หรือ “ประเทศ” ต่างๆ ทั่วโลก กฎหมายนี้จะเข้ามาดูแลเรื่องสำคัญๆ
international law public 101

กฎหมายระหว่างประเทศ คือ กฎกติการะหว่างประเทศ ที่คอยจัดระเบียบความสัมพันธ์ของ “รัฐ” หรือ “ประเทศ” ต่างๆ ทั่วโลก กฎหมายนี้จะเข้ามาดูแลเรื่องสำคัญๆ เช่น ข้อพิพาทเรื่องที่ดินแดน, เขตแดนของแต่ละประเทศ, การทำงานของนักการทูต, ข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ, รวมถึงการ ทำสนธิสัญญา และแม้แต่เรื่อง สงคราม ก็อยู่ในขอบเขตของมัน

เป้าหมายหลักของกฎหมายนี้คือการสร้าง มาตรฐานสากล” (International Standard) ให้ทุกประเทศทำตาม เพื่อให้โลกนี้มีสันติภาพ มีความยุติธรรม ประเทศต่างๆ ร่วมมือกัน และช่วยกันแก้ไขปัญหาโดยไม่ต้องใช้กำลัง

แต่กฎหมายระหว่างประเทศอย่างเดียวไม่พอ เพราะตัวมันเองไม่ได้บอกละเอียดว่าต้องทำยังไง หรือจะลงโทษคนทำผิดได้แบบไหน ดังนั้น แต่ละประเทศจึงต้องมีกฎหมายภายในของตัวเอง เพื่อนำกฎหมายระหว่างประเทศไป “บังคับใช้จริง” (อนุวัติการณ์-Implementation) ในประเทศตัวเอง


บ่อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศ

กฎหมายระหว่างประเทศเกิดขึ้นมาได้ยังไง? ตาม มาตรา 38 ของธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญทางกฎหมายระหว่างประเทศ บอกไว้ว่ามีที่มาหลักๆ 4 ทางคือ:

  1. สนธิสัญญา (Treaties): คือ ข้อตกลงที่เป็นลายลักษณ์อักษร ระหว่างประเทศสองประเทศขึ้นไป หรือระหว่างประเทศกับองค์กรระหว่างประเทศ ถือเป็นกฎหมายที่ประเทศต่างๆ ตกลงร่วมกันว่าจะทำตาม เช่น อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969 ก็เป็นกฎหมายที่บอกว่าสนธิสัญญาต้องทำยังไงถึงจะถูกต้องสนธิสัญญาจะ มีผลผูกมัดเฉพาะประเทศที่ตกลงกัน เท่านั้น และอยู่ภายใต้หลักที่ว่า “ต้องทำตามสัญญา” (Pacta Sunt Servanda) คือเมื่อตกลงกันแล้วก็ต้องรักษาสัญญา บางทีประเทศอาจยังไม่พร้อมลงนามเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา แต่ก็เห็นด้วยกับหลักการและนำมาปรับใช้ได้ เช่น มาตรฐาน IUU (การประมงที่ผิดกฎหมาย, ไม่รายงาน และไม่ควบคุม) ขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) แม้ไทยอาจไม่ได้เป็นภาคี แต่ถ้าอยากส่งออกสินค้าประมงไปยุโรปที่ใช้มาตรฐานนี้ ก็ต้องทำตาม
  2. จารีตประเพณีระหว่างประเทศ (Customary International Law): เกิดจากการที่ ประเทศต่างๆ ปฏิบัติสอดคล้องกันมานานและต่อเนื่อง (คือทำเป็นประจำ) โดยที่พวกเขา เชื่อว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นกฎหมาย หรือกฎที่ทุกคนต้องทำเหมือนกัน (ไม่ใช่แค่ทำตามกันไปเฉยๆ)
  3. หลักกฎหมายทั่วไป (General Principles of Law): คือ หลักกฎหมายที่ประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกยอมรับและนำไปใช้ ในระบบกฎหมายภายในของตัวเอง เช่น หลักการที่ว่า “ต้องทำด้วยความสุจริตใจ” หรือ “จะมาเอาเปรียบคนอื่นจากการทำผิดของตัวเองไม่ได้” หลักการเหล่านี้ช่วยเติมเต็มช่องว่างในกฎหมายระหว่างประเทศได้
  4. คำตัดสินของศาลและงานเขียนของนักวิชาการ (Judicial Decisions and Teachings of Publicists): นี่ไม่ใช่ตัวกฎหมายโดยตรง แต่เป็น ตัวช่วยในการตีความและพิสูจน์ ว่ากฎหมายระหว่างประเทศนั้นมีอยู่จริงและหมายความว่าอย่างไร เช่น คำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือบทความของนักกฎหมายผู้เชี่ยวชาญ

กฎหมายระหว่างประเทศกับกฎหมายในประเทศ เกี่ยวข้องกันยังไง?

อย่างที่บอกว่า “กฎหมายระหว่างประเทศอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีกฎหมายในแต่ละรัฐด้วย เพราะกฎหมายระหว่างประเทศไม่ได้บอกวิธีการ และ บทลงโทษไว้ ต้องนำมาอนุวัติการณ์เป็นกฎหมายในประเทศด้วย” นี่คือความเกี่ยวพันกันของกฎหมายทั้งสองแบบ:

  • แนวคิด “แยกกัน” (Dualism): มองว่ากฎหมายระหว่างประเทศกับกฎหมายในประเทศเป็นคนละเรื่องกัน ถ้ากฎหมายระหว่างประเทศจะมามีผลในประเทศได้ ต้องมีการออกกฎหมายภายในมารองรับก่อน เช่น ออกกฎหมายใหม่เพื่อบังคับใช้สนธิสัญญา
  • แนวคิด “รวมกัน” (Monism): มองว่ากฎหมายทั้งสองแบบเป็นระบบเดียวกัน กฎหมายระหว่างประเทศสามารถ มีผลใช้บังคับในประเทศได้เลยโดยอัตโนมัติ

ในทางปฏิบัติ ส่วนใหญ่ประเทศจะผสมผสานสองแนวคิดนี้ แต่สิ่งสำคัญคือ ประเทศต่างๆ ไม่สามารถอ้างกฎหมายภายในของตัวเองมาปฏิเสธความรับผิดชอบตามกฎหมายระหว่างประเทศได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่การนำกฎหมายระหว่างประเทศมา “ปรับใช้” ในกฎหมายภายในเป็นเรื่องสำคัญ


Jus Cogens (กฎหมายที่ห้ามละเมิดเด็ดขาด)

Jus Cogens อ่านว่า “จัส โค-เจนส์” คือ กฎหมายสูงสุดที่ห้ามละเมิดเด็ดขาด ในกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นหลักการที่ประชาคมโลกรวมกันยอมรับว่า ใครก็ห้ามฝ่าฝืน ถ้ามีสนธิสัญญาไหนไปขัดแย้งกับ Jus Cogens สนธิสัญญานั้นจะ ถือว่าเป็นโมฆะ ทันที

ตัวอย่างของ Jus Cogens ที่เรารู้จักกันดี ได้แก่:

  • ห้ามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (การฆ่าคนจำนวนมากเพราะเชื้อชาติ ศาสนา)
  • ห้ามค้าทาสและบังคับเป็นทาส
  • ห้ามทรมาน หรือปฏิบัติอย่างโหดร้ายไร้มนุษยธรรม
  • ห้ามทำสงครามรุกราน หรือใช้กำลังโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
  • ห้ามเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ
  • สิทธิในการกำหนดชะตากรรมของตนเอง (สิทธิของคนในพื้นที่ที่จะเลือกว่าจะอยู่ภายใต้การปกครองแบบใด)

กฎหมายเหล่านี้ถือเป็นกฎที่ ประชาคมระหว่างประเทศไม่อาจยอมรับการฝ่าฝืนได้ เพราะเป็นพื้นฐานสำคัญของความเป็นมนุษย์


Soft Law (กฎหมายอย่างอ่อน)

Soft Law คือ แนวทางปฏิบัติ คำแนะนำ หรือมาตรฐานต่างๆ ที่ “ไม่มีผลบังคับทางกฎหมายโดยตรง” กับประเทศ แต่กลับมีอิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนาและพฤติกรรมของประเทศนั้นๆ เช่น มติของสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ หรือมาตรฐานที่องค์กรระหว่างประเทศออกขึ้น

แม้จะไม่มีผลบังคับ แต่ Soft Law มีบทบาทสำคัญในการ:

  • ตั้งมาตรฐาน: เป็นแนวทางให้ประเทศต่างๆ ปฏิบัติตาม
  • ให้ความยืดหยุ่น: ประเทศต่างๆ สามารถนำไปปรับใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ของตัวเองได้
  • ปูทางสู่กฎหมายจริง: ถ้าประเทศต่างๆ ปฏิบัติตาม Soft Law อย่างต่อเนื่อง อาจกลายเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศ หรือพัฒนาไปเป็นสนธิสัญญาที่มีผลบังคับใช้จริงในอนาคต (ซึ่งเรียกว่า Hard Law)

ตัวอย่างที่ดีคือ มาตรฐาน IUU (Illegal, Unreported and Unregulated fishing) ของ FAO ซึ่งเป็นองค์กรที่ส่งเสริมการประมงที่ยั่งยืน แม้ประเทศไทยอาจไม่ได้เป็นสมาชิกโดยตรงของข้อตกลงนี้ แต่ถ้าจะส่งออกปลาไปยุโรปที่เข้มงวดเรื่อง IUU ไทยก็ต้องทำตามมาตรฐานนี้ เป็นการแสดงให้เห็นว่าแม้ไม่ใช่กฎหมายที่บังคับโดยตรง แต่ประเทศก็เลือกที่จะปฏิบัติตาม เพราะเห็นด้วยกับหลักการ หรือเพราะจำเป็นต้องทำเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง

โดยสรุป กฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีเมือง

เบื้องต้นที่เราจะทำความเข้าใจเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศได้นั้น คือเราต้องรู้ก่อนว่ามันเป็นกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ด้วยเหตุจาก 4 เหตุที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่าระหว่างประเทศที่มีข้อพิพาทนั้น มีข้อตกลง สนธิสัญญาใด ๆ ระหว่างกันหรือไม่ มีหลักปฎิบัติตามจารีตประเพณีระหว่างกันหรือไม่ หลักกฎหมายทั่วไปที่ทั้งสองประเทศหรือหลายประเทศปฎิบัติใช้เหมือนกันหรือไม่ หรือมีคำตัดสินของศาล รวมทั้งคำแนะนำของนักกฎหมายให้เป็นแนวทางไว้หรือไม่ ทั้ง 4 ประเด็นนี้ต้องนำมาใช้รวมกันในการพิจารณาด้วย

ส่วนเมื่อเป็นกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว ประเด็นปัญหาที่พบบ่อยคือ หากมีข้อพิพาทระหว่างกันต้องทำอย่างไร ซึ่งในบทความถัด ๆ ไปนั้นผมเองจะเขียนแนวทางการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศไว้ให้ทุกคนได้ศึกษา ขบคิด หรือแลกเปลี่ยนกันในประเด็นต่าง ๆ ถัดไปในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน

แหล่งอ้างอิงทางวิชาการหลัก

  • ธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (Statute of the International Court of Justice)(International Court of Justice – ICJ): Statute of the International Court of Justice
  • อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969 (Vienna Convention on the Law of Treaties, 1969) เอกสารฉบับเต็มจากเว็บไซต์ของสหประชาชาติ (United Nations – UN): Vienna Convention on the Law of Treaties (1969)

ตำราและแหล่งข้อมูลวิชาการด้านกฎหมายระหว่างประเทศทั่วไป (สำหรับศึกษาเพิ่มเติม)

Comments 2
ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Prev
TEDxBangkhunthian 2024: ปีที่ท้าทายที่สุดและไอเดียที่เปลี่ยนแปลงโลก
TEDxBangKhunThian 2024 บางขุนเทียน TED LINE_ALBUM_ใครมีรูปขอชมหน่อย_241210_51-499 Medium

TEDxBangkhunthian 2024: ปีที่ท้าทายที่สุดและไอเดียที่เปลี่ยนแปลงโลก

ปี 2024 เป็นปีที่ทำ TEDxBangkhunthian ได้ยากลำบากที่สุดในทุกปี

Next
สนธิสัญญา: ข้อตกลงในการเกิดกฎหมายระหว่างประเทศ
Treaties and Conventions public international law

สนธิสัญญา: ข้อตกลงในการเกิดกฎหมายระหว่างประเทศ

สนธิสัญญา:

You May Also Like